เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 8
เช้าวันที่ 8 วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปญี่ปุ่นของเราแล้ว เราต้องกลับไฟล์ 23.45 น. ดังนั้นเราต้องไปเตรียมพร้อมที่สนามบินประมาณ 17.30 น. ตารางวันนี้ก็จะหลวมๆหน่อย และส่วนใหญ่จะเป็นการไป shopping กัน
วันนี้เราเริ่มต้นทริปกันที่ ห้าง Yodobashi ที่อากิฮาบาระ เพราะคราวที่แล้ว ตอนที่ไปอากิฮาบาระ พี่ฉิม Director ของเรา มาถึงแล้วก็แค่ไปเข้าห้องน้ำที่ห้าง Yodobashi ยังไม่ได้เดินเลยดูอะไรเลย วันนี้ก็เลยจัดให้เต็มที่ ด้วยการพามาซื้อหนังสือกล้องที่ห้าง Yodabashi ที่อากิฮาบาระกัน
การเดินทางจากโรงแรมเรา ก็แสนจะง่ายเหมือนปอกกล้วย นั่งไปแค่ 1 สถานีเท่านั้น (ขอแค่อย่าขึ้นผิดฝั่งเป็นใช้ได้)
แผนที่ ห้าง Yodobashi Akihabara
พิกัด : 35.698896, 139.774761
MAP :
https://goo.gl/maps/Cdce95efuA42
ห้าง Yodabashi มีอยู่ 9 ชั้น แต่ละชั้นก็จะขายพวกเครื่องอิเล็คทรอนิคทุกชนิด อย่างพวก มือถือ เครื่อง PC กล้อง นาฬิกา เครื่องเสียงไรงี้ แต่สำหรับร้านหนังสือจะอยู่ชั้น 7 นะจ้ะ
ขึ้นมาชั้น 7 แล้ว ก็จะเจอ Tower Record
นี่คือร้านหนังสือที่เราแวะกัน มีหนังสือญี่ปุ่นเยอะม๊ากกก พี่ฉิมก็เดินหายเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวอยู่พักนึง และก็กลับออกมาพร้อมกับหนังสือกล้องกองโต
นี่คือหนังสือที่พี่ฉิมเลือกมา ส่วนพี่เก้ากะแม่ก็ได้หนังสือพวกการฝีมือ สอนเย็บปักถักร้อยเป็นสไตล์ญี่ปุ่น แม่บอกว่า “ไม่ได้เอาไปทำหรอก แต่อยากเก็บไว้ดูเพราะลายมันน่ารักดี”
ช่วงครึ่งเช้า ก็หมดไปกับการช้อปปิ้งหนังสือ เดี๋ยวต้องไปหาข้าวกินก่อนจะได้มีแรงเพื่อไปช้อปต่อในช่วงบ่าย ซึ่งเรามีเวลาไม่มากนักเพราะต้องเผื่อเวลากลับโรงแรมเพื่อไปแพ็คของที่ช้อปมาลงกระเป๋าอีก
เราเลยขอเป็นร้านแบบกินง่ายๆเร็วๆ เลยมาลงที่ร้านซูชิซันมัย ที่เราเคยไปกินครั้งแรกที่สาขาตลาดปลาซึกิจิอ่ะ แต่วันนี้เป็นสาขาห้างโยโดบาชิ ร้านอยู่ชั้น 8 นะ
ร้านซูชิซันมัย
ที่สาขาห้าง Yodobashi ไม่ค่อยใหญ่มาก มีชั้นเดียวแคบๆหน่อย มีทั้งที่นั่งตรง counter และที่นั่งเป็นโต๊ะแต่พวกเราเลือกที่นั่งเป็นโต๊ะเพราะของเราเยอะ
ที่นี่จะพิเศษกว่าสาขาที่ตลาดปลาหน่อยนึงตรงที่มีสายพานวิ่งผ่านทุกโต๊ะเลย ซึ่งที่ซึกิจิไม่มีแบบนี้
พอนั่งโต๊ะปุ๊บ เค้าก็ยกซุปมิโซะมาเสิร์ฟให้ก่อนเลย แต่เค้าจะไม่เสิร์ฟน้ำให้นะ เพราะเค้ามีชาเขียวให้เราที่โต๊ะอยู่แล้ว ร้านจเค้าจะวางขวดผงชาเขียวไว้ให้เรากับถ้วยชา
เราก็แค่เทผงชาเขียวลงถ้วย แล้วก็กดน้ำร้อน ใครอยากทานรสเข้มก็ใส่ผงชาเขียวเยอะหน่อย ปรุงตามใจชอบ
มาดูอาหารกันดีกว่า เราจะรอหยิบจากสายพานเอาก็ได้ หรือจะสั่งเอาก็ได้นะ แต่ตอนนี้เรายังไม่เห็นมีซูชิวิ่งบนสายพานสักจาน เชฟเค้าอาจจะยังเตรียมไม่เสร็จก็ได้ เราเลยเลือกสั่งจากเมนูเลย
มีแบบเป็นซูชิเซ็ทด้วยนะ และก็มีเมนูอย่างอื่นนอกเหนือจากซูชิ เช่น สลัดไรงี้
เราก็เลือกสั่งสิ่งที่เราชอบบบ นั่นก็คือแซลมอนซูชิ ที่นี่ขายจานละ 128 เยน ได้ 2 คำ ราคาจะถูกกว่า Sushi Goround ที่อาซาคุสะนิดนึง
วิธีดูราคา ในเมนูเค้าจะเขียนราคากำกับไว้เลยว่าเมนูนี้ราคากี่เยน และด้านล่างเค้าก็จะมีตัวอย่างจานให้ดูด้วย ว่าจานลายนี้ราคาเท่าไหร่ เวลาเก็บตังค์เค้าก็จะนับจากจานนี่หล่ะ
แซลม่อนซูชิ มาเสิร์ฟแล้ว แต่เราออกจะผิดหวังเล็กๆ เพราะแซลม่อนเป็นชิ้นสั้นๆและไม่ฉ่ำและเนื้อมีความมันอร่อยเหมือนร้านลุงที่อาซาคุสะ
อันนี้เป็นซูชิกุ้งของแม่ ราคา 198 เยน ได้ 2 คำ
พี่ฉิม ไดเรคเตอร์เรา ลองสั่งปลาหน้าตาแปลกๆดู ไม่แน่ใจว่าเป็นปลาอะไรอะนะ จานละ 198 เยน
อันนี้เป็นซูชิหอยโฮตาเตะ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อหอยเชลล์น่ะเอง ไดเรคเตอร์สั่งมาอีกหล่ะ เห็นบอกว่าอร่อยนะ แต่เบญกะพี่เก้าไม่ค่อยถนัดเมนูหอยสดเท่าไหร่
ลองสั่งซูชิแบบมีไส้มาบ้าง แต่ไม่ได้ประทับใจไรมากมาย
สรุปว่าสำหรับร้านซูชิซันมัย สาขาห้าง Yodabashi ก็รู้สึกเฉยๆกับซูชินะ ไม่ได้อร่อยจนว๊าวไรงี้ แต่ร้านนี้จะดีอย่างตรงที่พนักงานเค้าบริการทั่วถึงดี ไม่เหมือนสาขาซึกิจิที่จะสั่งยากหน่อย พนักงานเค้าไม่ค่อยเดินมา แถมเวลาสั่งยังเร่งด้วย
มาถึงตอนนับจานแล้ว.. เห็นจานกองเยอะขนาดนี้ เราก็คิดว่าเค้าคงจะนับอยู่พักนึง ที่ไหนได้ เค้าเอาเครื่องสแกนมายิงตรงจานปิ๊ดเดียว ก็คิดเงินได้แระ ก็เลยสงสัยว่าทำไม??
ที่แท้ใต้จานมันจะมีแม่เหล็กอยู่ เป็นตัวบอกว่าจานนี้ราคาเท่าไหร่ เวลาจะสแกนก็เอาจานมาเรียงซ้อนกันเป็นตั้งแล้วยิงตรงกลางของจานบนสุด ก็จะได้ราคารวมออกมา เราคิดว่าไอเดียนี้เวิร์คมากเลย เพราะนอกจากจะกันความผิดพลาดในการนับแล้วยังคิดตังได้เร็วอีกด้วย
หลังจากอิ่มเรียบร้อย เราก็ไปช้อปกันต่อ โดยที่สุดท้ายที่เราจะไปกันก็คือ
ตลาดอะเมโยโก
แผนที่ ตลาด Ameyoko
พิกัด : 35.710107,139.7745574
MAP :
https://goo.gl/maps/5TnLQT7NY782
วิธีเดินทาง ถ้าเราใช้ Toyo Metro สาย Hibiya ก็ให้ลงที่ H16 เลย นั่งจาก Akiba ต่อไปแค่ 1 สถานี แต่ถ้าใครที่ใช้ JR Yamanote ก็ให้ลงสถานี Okachimachi นะ
เราจะมาดูร้านขายสินค้ากีฬาที่ Sports Zyuen (เราคิดว่าน่าจะอ่านว่า สปอร์ต ไซอูเอ็น) เป็นร้านขายรองเท้ากีฬาแบรนด์ตกรุ่นราคาถูกสุดๆ เดินเข้ามาจากทางเข้าตรงมาอย่างเดียวเลยก็จะเจอร้าน
ถ้าไม่ได้แคร์เรื่องจะใส่ของตกรุ่นไรงี้ ก็มาซื้อกันได้ เค้าว่ากันว่าราคาถูกมากและเป็นของแบรนด์แท้ๆ เพราะญี่ปุ่นไม่มีของปลอม แต่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไง ถูกจริงรึป่าว ต้องไปพิสูจน์
ถึงร้านแล้ว หน้าร้านเค้าก็จะมีกระบะของลดราคาวางไว้เพียบเลย เป็นพวกกระเป๋าแบรนด์ เสื้อ กางเกง รองเท้า แว่นตา อุปกรณ์กีฬาทุกอย่างที่ตกรุ่นแล้ว ส่วนที่ยังไม่ตกรุ่นก็จะอยู่ด้านใน
ร้านมีหลายชั้นเลยนะ อ่านญี่ปุ่นไม่ออกเค้าก็มีสัญลักษณ์รูปกีฬาบอกว่าชั้นนี้ขายเครื่องกีฬาเกี่ยวกับอะไรบ้าง
ถัดมาอีกด้านนึงก็มีรองเท้าลดราคาวางเพียบเลย พี่เก้าเข้าไปเช็คราคารองเท้าที่ลดดู จาก 4,000 เยนเหลือ 3,119 เยน
ส่วนอันนี้รองเท้าพูม่า จาก 3,129 เยน ลดเหลือ 1995 เยน ก็ถูกลงไปประมาณ 1,000 เยน
เราลองเข้าไปเช็คราคารองเท้ารุ่นที่อยากได้ในร้านซึ่งเป็นรุ่นเก่า ปรากฏว่าราคาก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิด เราไม่ชัวร์ว่าเพราะเค้าไม่ได้เอามาลดราคารึเปล่า แต่ตรงกระบะข้างหน้าที่ลดราคามันก็จะถูกลงไป 1,000 เยน (ก็ประมาณ 350 บาท ณ เรทในวันนั้น)
สรุปสุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อมา คนที่ได้ของคือพี่ฉิม เป็นผ้าขนหนูลายถั่วน่ารัก -..- เราเลยคิดว่าสำหรับรองเท้าที่ราคาถูกจริงๆน่าจะต้องเป็นที่เค้าเอามาลดราคาอยู่ด้านนอกอะนะ ซึ่งแบบที่เค้ามาลดราคามันก็ไม่ได้ดูโทรมหรือโบราณ มันก็เป็นรองเท้าที่ตกรุ่นจริงๆแต่คุณภาพดี ใครที่ชื่นชอบพวกอุปกรณ์กีฬาทั้งหลาย ลองแวะมาดูที่นี่ได้นะจ้ะ
ถึงเวลาซื้อขนมฝากตัวเองและเพื่อนๆละ เราก็มาตั้งต้นที่หน้าทางเข้าตลาดอะเมโยโกอีกครั้งนึง
หน้าตลาดมีผลไม้ขายด้วย ซึ่งพวกเราเล็งมาหลายวันละแต่ยังไม่ได้กินซะที วันนี้เลยขอกินส่งท้ายเป็นสตรอเบอรี่และก็สับปะรด ที่ญี่ปุ่นเค้าจะเสียบผลไม้เหมือนเป็นลูกชิ้นอย่างงี้และก็ขายเป็นไม้ๆ เวลากินก็ต้องยืนกินหน้าร้านและก็ทิ้งไม้ที่ร้านเค้าเลย เพื่อไม่ให้พื้นสกปรก
กินเสร็จเราก็มาละลายเงินเยนทั้งหมดกันที่ ร้านนิกิ โนะ คาชิ (Niki no Kashi) เป็นร้านขายขนมร้านใหญ่ในตลาดอะเมโยโก เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ 1947 ร้านจะมี 2 ฝั่งอยู่ตรงข้ามกันเลย ซื้อร้านไหนก็ได้
ที่นี่จะขายพวกขนมที่เป็นห่อใหญ่ๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาซื้อขนมจากที่นี่ไปเป็นของฝากกัน และเป็นขนมญี่ปุ่นที่ราคาจะถูกและอร่อยด้วย
จริงๆแล้ว เรารู้จักร้านนี้ได้เพราะแม่ค้าขายปลาหมึกในตลาดอะเมโยโกเค้าแนะนำมา เค้าบอกว่าให้มาซื้อขนมที่ร้านนี่สิ มันมีของให้เลือกเยอะ ตั้งแต่พวกของสด ไปจนถึงขนม แถมยังราคาถูกอีกตะหาก
ทางเข้าจะไม่ได้ใหญ่มาก ระหว่างทางเดินจะมีชั้นขนมอยู่เต็ม 2 ข้างทางเลย แค่นี้ก็รู้สึกกรี๊ดกร๊าดแล้ว เพราะมันจะมีขนมที่ในตลาดอะเมโยโกด้านนอกไม่มีวางขาย
ตลาดข้างนอกเค้าจะขายพวกของสดซะส่วนใหญ่ใช่มะ แต่ในนี้จะมีพวกข้าวเกรียม ขนมเซมเบ้ ขนมโมจิ ขนมแป้งทอด ท้อฟฟี่ ช็อคโกแลต ขนมปังไส้ต่างๆสไตล์ญี่ปุ่นวางเต็มชั้น เล่นเอาเลือกไม่ถูกเลย
พอเดินเข้ามาข้างใน มันจะคล้ายซุปเปอร์มาร์เก้ตญี่ปุ่นเลย มีแบ่งสินค้าออกเป็นล็อคๆ แต่ดันเขียนเป็นญี่ปุ่นก็เลยอ่านไม่ออกไปตามระเบียบ เราเลยเดินไปดูทุกล็อคเลย พอช้อปเสร็จเค้าก็ไปจ่ายตังค์ที่แคชเชียร์ด้านหน้า
เรามาเขียนรีวิวนี้หลังจากที่เราได้ชิมขนมจากที่นี่แล้ว อยากแนะนำให้คนที่มาช้อปที่อะเมโยโกมาแวะซื้อขนมที่นี่ด้วย เพราะที่ซื้อมาอร่อยทุกอย่างเลย โดยเฉพาะบิสกิต ยี่ห้อ Bourbon choco & coffee เป็นบิสกิตรสกาแฟกับช้อคโกแลต
วิธีการมา ถ้ามาด้วย JR Yamanote Line ให้ลงที่สถานี Okachimachi แล้วเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง
ตามภาพนี้เลยนะ พอออกจากสถานี Okachimachi แล้วจะเห็นป้ายตลาดอะเมโยโกข้างหน้า ก็เข้าไปเลย
เดินตรงเข้ามาในตลาดเลย
เดินเข้ามานิดเดียว ก็จะเจอซอยขวามือ ให้สังเกตว่าถึงแล้วจากหลังคาศาลเจ้าตามภาพเลย
เลี้ยวซ้ายเข้าไปในซอยเลย จะเห็นร้า Niki no Kashi อยู่ข้างๆทางเข้าศาลเจ้า
ศาลเจ้า Tokudajii
จะถึงก่อน ถัดไปก็เป็นร้าน Niki no Kashi
ถ้าใครได้ดู Clip เที่ยวของเรา จะเห็นว่าเราเรียกร้านเค้าว่า Café Niki ใช่มะ นั่นเป็นเพราะตอนที่ถามคุณแม่ค้าปลาหมึก เค้าบอกว่าที่นี่ชื่อ Café Niki แต่พอหลังจากที่เราลองมาหาข้อมูลแล้ว ร้านนี้จะใช้ชื่อ Niki no Kashi จ้า
ซื้อขนมเรียบร้อยก็กลับโรงแรมซะที เราจัดการ Check out ไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อเช้า แต่ฝากกระเป๋าไว้ข้างล่าง พอเราซื้อของกันเสร็จเราก็มาแพ็คกระเป๋ากันตรง Lobby เลย ก่อนออกจากโรงแรมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกคู่กับกระเป๋าหน่อยนะ มาทริป iLoveToGo ทีไรกระเป๋าไม่เคยน้อยเลยซ๊ากกกที -..-
ถึงสนามบินฮาเนดะเรียบร้อย ไฟล์ทของเราออกตอน 23.45 น. ก็ต้องขอปิดทริปญี่ปุ่นกันเพียงแค่นี้นะจ้ะ สำหรับทริปครั้งนี้มีหลายๆอย่างที่เราได้เรียนรู้จากการเดินทางมากมาย ก็ขอมาตอบข้อสงสัยสำหรับคนที่อยากไปญี่ปุ่นแต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆอยู่นะจ้ะ
จากคำถามที่ว่า "ญี่ปุ่นเที่ยวยากมั้ย?" สำหรับเราที่เพิ่งจะมาญี่ปุ่นครั้งแรก และไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเร้ย ตอนแรกอาจจะงงงวย เพราะเริ่มจากสายรถไฟใต้ดินที่ดูยุ่งเหยิง แต่พอนั่งไปหลายๆวันเข้ามันจะจับทางได้และเริ่มชิน ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วมันดูไม่ยาก ซึ่งเราก็ได้สอนวิธีดูสายรถไฟใต้ดินจากในรีวิวและในคลิปไปแล้วเนอะ
ส่วนที่ว่า "ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยเที่ยวได้มั้ย?" เราว่าไม่จำเป็น ถึงแม้คนญี่ปุ่นเค้าส่วนน้อยที่จะพูดอังกฤษ แต่ก็สื่อสารกันด้วยหน้าตา ท่าทาง มันก็รู้เรื่องอยู่ดีแหละ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวไป ยังไงคนญี่ปุ่นเค้าก็เต็มใจช่วยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ
"ความปลอดภัย ความสะอาดในญี่ปุ่นหล่ะ?" เราอยู่เฉพาะในโตเกียว เรารู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัย เที่ยวกันเองได้ ถนนหนทางสะอาดสะอ้านแม้แต่แมลงสาปสักตัวยังไม่เจอเลย
"ห้องน้ำหายากมั้ย?" ไม่ยากเลย เพราะเค้าจะมีห้องน้ำตามสถานีรถไฟฟ้าทุกที่ และมีห้องน้ำสะอาดตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ
"Internet ที่ซื้อมา 1 GB พอมั้ย?" ใช้ Google Map, Line, หาข้อมูลจาก Google เริ่มใช้ตั้งแต่ 10.00 ไปถึง 21.00 ใช้อยู่ 2 เครื่อง ทั้งหมด 8 วันที่อยู่ที่ญี่ปุ่น ก็ยังเหลือเลย
สรุปค่าใช้จ่ายทริปเที่ยวญี่ปุ่น 8 วัน คิดต่อคนนะจ้ะ
1. ค่าตั๋วเครื่องบิน 13,750 บาท
(จองตั้งแต่ ม.ค.55 ตอนนั้นมันเป็นโปรบินไปญี่ปุ่น 6,000 บาท ไม่รวมภาษีสนามบิน+ค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม เราโหลดกระเป๋ากัน 2 คน คนละ 20 กก. ขาไปและกลับ พอหารเฉลี่ยกันก็ตกคนละ 13,750 ค่ะ)
2. ค่าโรงแรมต่อคน (คนละ 1,250x7คืน) = 8,750 บาท
3. ค่าใช้จ่ายระหว่างทริป 22,000 บาท (ไม่รวม pocket moneyนะ)
สรุปเที่ยวทั้งหมด 8 วัน คนละ 44,500 บาท
ค่าใช้จ่ายในทริปนี้ จะเห็นว่ามันไปแพงเยอะๆตรงค่าใช้จ่ายระหว่างทริป นั่นเพราะเราก็ใช้ซื้อขนมระหว่างทริปไปเพียบอ่ะ ถ้าใครอยากให้ประหยัดกว่านี้ก็ลองวางแผนให้เหมาะกะสไตล์ตัวเองดู มันประหยัดลงได้จริงๆ
สำหรับทริปนี้ลำบากตั้งแต่เริ่มเท้าแตะญี่ปุ่นแล้ว ด้วยการนอนสนามบิน และอะไรต่างๆที่ไม่เป็นไปตามแผน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือประสบการณ์ใหม่ๆในช่วงชีวิตนึงของพวกเรา และได้เอามาแชร์ให้ทุกๆคนได้สนุกสนานไปกับเราด้วย
สิ่งที่คุณได้เห็นในคลิปหรือในรีวิวภาพของเรา เป็นแค่เพียงภาพรวมๆเท่าที่มือใหม่หัดเที่ยวอย่างเราจะมีปัญญาเก็บมาให้ดูกันได้ จริงๆแล้วมันมี Detail อะไรมากกว่านี้อีกมาก ซึ่งรอให้พวกคุณได้ออกไปค้นหาด้วยตัวเอง
หากในตอนนี้ ประเทศญี่ปุ่นเป็นจุดหมายในใจของใครบางคนอยู่ แต่ยังไม่ได้ไปเพราะติดเรื่องเวลา เรื่องเงิน ต่างๆนานา หวังว่ารีวิวของพวกเรา จะเป็นไกด์ให้คุณเห็นว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น มันไปได้จริง และพอจะกะประมาณงบคร่าวๆได้ไม่ยากเนอะ
ต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตาม และให้กำลังใจกันมาตลอดๆเลยน๊าาาา สำหรับทริปหน้าจะไปที่ไหนรอติดตามกันนะค๊า ^_____^/