เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 5
เช้าวันที่ 5 ในญี่ปุ่นของพวกเรา วันนี้มีภารกิจตามล่าของอร่อยประเภทซูชิกัน โดยร้านที่เลือกมาวันนี้คือร้าน ซูชิได อยู่ในแหล่งค้าส่งปลาและของทะเลสดๆที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว นั่นคือตลาดปลาซึกิจิน่ะเอง ออกเดินทางกันเลย
การเดินทาง เราจะใช้ Tokyo Metro Line เหมือนเดิม ใช้สายสีเทา (Hibiya Line) เริ่มจาก H14 วิ่งไป H10 สถานี Tsukiji นั่งไปแป๊บเดียวเท่านั้น ราคาตั๋ว คนละ 160 เยนนะจ้ะ (อันนี้เป็นภาพที่กางดูจากแผนที่รถไฟภาษาอังกฤษอ่ะนะ)
แต่เมื่อเดินเข้าไปในสถานี สิ่งที่เราพบเห็นคือสภาพแผนที่เยี่ยงนี้ ไม่มีภาษาอังกฤษให้เราอุ่นใจเลย แต่ตอนนั้นใช้วิธีมองหาสายสีเทา แล้วมาเทียบกับแผนที่ของเรา ราคามันจะ 160 เยนตลอดสาย ยกเว้นว่าวิ่งไป 3 สถานีสุดท้ายจะ 190 เยน พอเรารู้ราคาแล้ว เราก็ไปกดตั๋วกัน
ระหว่างทางไปเจอป้าย ถ้าจะจามให้ปิดปากด้วย ทำเป็นการ์ตูนน่ารักดีอ่ะ เท่าที่อยู่มา 5 วันเนี่ย ก็เห็นด้วยที่คนญี่ปุ่นนี่เค้าจะสื่อสารกันด้วยการ์ตูนตลอดเลย ป้ายต่างๆมักจะมีตัวการ์ตูนเสมอ
ร้านซูชิได ที่เราจะไปกินเช้านี้ ที่อ่านมาเค้าแนะนำว่าให้ไปเช้าๆหน่อยสักตี 5 – 6 โมง จะได้คิวต้นๆ ไม่ต้องรอนาน แต่พวกเราออกจากโรงแรมกันประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งก็มโนไปว่า เฮ้ย.. นี่ก็เช้าแล้วหล่ะ แค่จะไปกินซูชิคงไม่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 หรอกมั้ง -..- (ซึ่งถ้าอยู่ที่ไทย เท่ากับว่าตรูตื่นนอนตอนตี 2 เลยนะเนี่ย คิดแบบนี้ ก็ยิ่งไม่อยากตื่นกันเข้าไปใหญ่..)
พอลงที่ H10 Tsukiji Station แล้ว ให้ใช้ Exit 1 นะ เดินออกมาด้านซ้ายมือจะผ่าน Tsukiji Hongwanji Buddhist Temple
เราจะผ่านป้าย Shin – ohashi – dori
Step สุดท้ายก็ข้ามถนนไปเลย ตลาดปลาซึกิจิอยู่ข้างหน้าเรานี่หล่ะ
มาถึงหน้าตลาดปลาแล้ว สิ่งที่พบเห็นอย่างแรกคือ มีนักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกะป้ายตลาด และถ่ายหน้าตลาดกัน เออเนอะ ก็ที่นี่นี่มันถือว่าเป็นที่เที่ยวที่นึงในโตเกียวนี่นา
ตอนแรกก็สงสัยว่า ตลาดปลา ไหงถึงมาอยู่ในไกด์บุ้คเที่ยวญี่ปุ่นหลายๆเล่มเลยนะ เปิดไปเล่มไหนก็เจอตลอดเลย ที่นี่มันมีอะไรน่าสนใจกันแว๊
เปิดเมื่อปี 1935 จะขายพวกอาหารทะเลสดๆ ปลาสดๆ กุ้งสดๆ โดยขายกันเป็นหลายๆพันตันต่อวัน รับอาหารสดและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทั่วโลกที่ขนส่งมาทั้งทางรถ เรือ และเครื่องบิน
ที่นี่แบ่งเป็น 3 โซนหลักคือ Central Wholesale Market, ตลาดด้านใน, ตลาดด้านนอก ที่โซน Central Wholesale Market จะเป็นจุดที่พ่อค้าเอาปลามาประมูลกันตอนเช้ามืด แล้วก็ซื้อขายกัน และก็เป็นโซนที่ขายส่งของทะเลกัน ซึ่งต้องเดินเข้าไปข้างใน ส่วนตลาดด้านใน เป็นศูนย์รวมร้านเก่าแก่อย่าง ร้านซูชิ,ข้าวหน้าปลาดิบ อุปกรณ์ประมง
ตอนแรกเข้าใจว่า มาดูประมูลปลากันอย่างเดียวมันสนุกตรงไหน แต่พออ่านต่อว่าเค้ามีของกินอร่อยอยู่ด้วยนี่น่าสนมากมาย เพราะว่าตลาดปลาซึกิจิเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบการทำอาหาร ซึ่งของส่วนใหญ่ของที่มาลงก็จะใหม่ สด อร่อย
เราเลยคิดว่ามาญี่ปุ่นทั้งที ก็ขอลองชิมอาหารที่เค้าว่าใช้วัตถุดิบสดใหม่สุดๆกันหน่อย แต่ราคาก็อาจจะสูงกว่าที่อื่นๆสักเล็กน้อยอะนะ
แต่จากข่าวล่าสุดที่รู้มา ในปี 2014 นี้ ตลาดปลาซึกิจิจะย้ายจากย่านกินซ่า ไปเปิดแถวย่าน Toyosu แทน (ห่างออกไปจากที่เดิมประมาณ 2.3 กม.) และขยายขนาดให้ใหญ่กว่าเดิม 40% ทำเป็นแบบ Complex มีอาคารหลายๆหลัง สูง 3 – 6 ชั้น และแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ คือ
1) ตลาดค้าส่งอาหารทะเล ที่มีจุดชมภายในตลาดเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย
2) ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ ที่มีอยู่แล้วที่ตลาด Tsukiji เดิม
3) ที่พักสำหรับพ่อค้าคนกลาง และ
4) สำนักงานของบริษัท Trading ทั้งหลาย
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.marumura.com เข้าไปอ่านข่าวได้ที่ลิ้งนี้นะจ้ะ
http://www.marumura.com/news/?id=3404)
เรียกว่าทำกันให้เป็นสัดส่วนไปเลย แบ่งโซนสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นโซนนึง และโซนสำหรับค้าส่ง+ออฟฟิสที่ทำงานกันไปเลย
ระหว่างทางที่เดินไปร้านซูชิได ก็จะมีร้านอาหารเรียงติดๆๆกันแบบนี้หลายๆร้าน และมีที่นั่งกินแบบง่ายๆให้ด้วย ประมาณว่านั่งกินเร็วๆๆ กินเสร็จก็จ่ายตังค์แล้วรีบๆออกไป
นอกจากที่นั่งหน้าร้านแล้ว เค้าก็มีจัดโซนให้ยืนกินด้วยนะ แต่แถวๆโต๊ะก็ดูสะอาดเชียว พื้นก็ไม่มีขยะเลย เหมือนคนกินเค้าก็ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วย
พอกินเสร็จแล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่น มาเก็บชามและเช็ดโต๊ะให้
แต่พวกเรายังใจแข็งอยู่ แม้จะถูกยั่วยวนด้วยกลิ่นอาหารตลอดทางก็ตาม -..- เพราะจุดมุ่งหมายของเราวันนี้คือร้านซูชิได
อาหารที่ขึ้นชื่อว่า ถ้ามาซึกิจิก็ต้องมากิน ก็คือซูชิ โดยซูชิไดเป็นร้านดังระดับตำนานในตลาดปลาซึกิจิ เค้าจะเสิร์ฟให้เราทีละคำ และรสชาติก็จะเสร็จจบในตัวเอง ไม่ต้องจิ้มไรเลย ได้ความหอมหวานของของทะเลสดๆ ที่โปะลงมาบนข้าว
พวกเราเดินตรงมาเรื่อยๆจนเห็นปั๊มน้ำมันหน้าตาแบบนี้ก็ให้เลี้ยวซ้ายไป จะเจอถนนเลนใหญ่ๆ ก็เดินไปตามถนนเลย
สรุปว่าเราเดินกันมาเป็นเส้นทางประมาณนี้ ตั้งต้นจากสถานี Tsukiji ส่วนใครที่มี GPS ก็ใช้พิกัดนี้ได้เลยนะ 35.6636161,139.7696435
ในที่สุดพวกเราก็เลี้ยวมาถึงร้านซูชิไดเรียบร้อย สิ่งที่เห็นคือ.. มีร้านซูชิเรียงติดๆๆกันหลายๆร้าน แต่มีอยู่ร้านเดียวที่คนมามุงกันเยอะ ก็คือร้านซูชิได เป็นร้านเล็กๆแคบๆ เท่ากับห้องเล็กๆ 1 ห้อง มีอยู่ 8 ที่นั่งเท่านั้นเอง
แต่ถ้าเห็นแบบนี้แล้วถามว่าคิวยาวป่ะ เราก็ว่ามันไม่ได้ยาวมากนะ แต่จู่ๆก็เหลือบไปเห็นคนตรงหัวมุมถนนเค้ายืนชะโงกหน้าเข้ามามองที่ร้านนี้ แอ๊ะ มันยังไงกันนะ เลยลองเดินไปสำรวจดู
พอเห็นแถวแล้วก็ถึงบางอ๋อออออทันที เพราะ คนญี่ปุ่นเวลาต่อแถว เค้าก็จะต่อกันอย่างมีระเบียบและไม่ไปยืนบังร้านอื่นให้เกะกะ เค้าเลยมายืนต่อแถวร้านซูชิไดกันตั้งแต่หัวถนน และเว้นที่ว่างหน้าร้านอื่นไว้ จ๊ากกกกกส์ คิวยาวขนาดนี้เมื่อไหร่จะได้กินครัชพี่น้อง -“-
ความตั้งใจที่จะมากินซูชิไดก็ฟีบลงไปทันที สรุปว่าถ้าอยากได้กินชัวร์ ไม่ต้องต่อแถวยาว ก็ออกจากโรงแรมซักตี 5 (รถไฟใต้ดินเปิดเที่ยวแรกตี 5 นะจ้ะ) รับรองว่าได้กินชัวร์ ณ จุดนี้ความตั้งใจพวกเรายังไม่พอ เลยอดไปตามระเบียบ เราลองไปชะโงกดูร้านข้างๆแระ ก็เห็นมีคนเข้าไปนั่งกินกันเต็ม เราเลยต้องจำใจเดินจากไปอย่างช้าๆ -_-“
ระหว่างทางที่ออกมา เราก็มาเจอแผงขายผลไม้แห้งอยู่ริมถนน หน้าตาน่ากินจังเลยแวะชิมก่อน
ลองชิมหมดเลย อร่อยเกือบหมดอ่ะ ที่ชอบสุดคือ ลูกเบอรี่แห้งอันซ้ายสุดเลย อร่อยโฮกๆ เปรี้ยวๆหวานๆ
และเราก็ซื้ออย่างอื่นอีก รวมๆก็ประมาณ 5 ถุงได้ จำราคาไม่ได้ แต่รู้ว่าไม่แพงอ่ะ พี่เค้าก็ค่อยๆหยิบใส่ถุงให้อย่างประณีต ก่อนจะหยิบก็สวมถุงมือก่อน
ตอนปิดปากถุง มีแอบกุ๊กกิ๊กในสไตล์ญี่ปุ่น สังเกตเทปที่แปะถุง เป็นลายลูกเจี๊ยบเหลือง แอร๊ยยยยส์ >_<
ถึงจะไม่ได้กินซูชิได แต่พวกเราก็คิดว่าไหนๆมาตลาดซึกิจิแล้ว ก็ควรจะได้กินซูชิอ่ะน่า เลยลองเดินๆหาร้านในตลาดไปเรื่อยเปื่อย ก็เดินมาเจอร้านนี้เข้า ร้านนี้คือ
ซูชิซันไม (Sushi Zanmai)
ด้วยอารมณ์หิวข้าว เพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย ก็เอาร้านนี้หล่ะ เดินเข้าไปเลย ชั้นล่างจะเป็นเคาน์เตอร์บาร์ และก็มีโต๊ะนั่งด้วย ตอนนั้นประมาณ 9 โมงเช้า คนนั่งจนเต็มชั้นล่างแล้วอ่ะ เราเลยต้องขึ้นไปนั่งชั้น 2 แทน
ตอนนั้นก็ยังไม่รู้จักร้านนี้ แต่พอกลับมาเขียนรีวิวเนี่ย ถึงได้รู้ว่า ซูชิซันไม เป็นร้านซูชิที่มีหลายสิบสาขาทั่วญี่ปุ่น สาขาส่วนใหญ่จะอยู่ในโตเกียว สาขาอื่นก็แตกไปอยู่ตามจังหวัดใหญ่ๆ อย่างโอซาก้า, ฮอคไกโด แถมยังเป็นร้านซูชิที่เปิด 24 ชม. ไม่มีวันหยุด โดยมีเจ้าของคือ Kiyoshi Kimura ผู้ได้ฉายาว่าเป็น King of Tuna
สาขาแรกอยู่ที่ที่ตลาดปลาซึกิจิ และร้านนี้โด่งดังมาจากรสชาติปลาทูน่าที่สดใหม่ หอมอร่อย และราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพวัตถุดิบที่เค้าเอามาใช้ (แต่จะแพงกว่าซูชิสายพานสักหน่อยนึง)
บนชั้น 2 ก็มี counter bar ให้นั่งด้วยเหมือนชั้นล่าง และก็มีเชฟประจำ station เหมือนกัน ใครอยากจะพูดคุย สั่งอาหารกับเชฟญี่ปุ่น ก็เรียนเชิญที่เคาน์เตอร์นะฮะ
ร้านนี้จะมีภาพและชื่อภาษาอังกฤษต่อท้ายไว้ด้วย ทำให้สะดวกในการสั่งอย่างมาก เวลาสั่งเค้าจะมีใบเมนูที่มีตัวเลขอยู่ จะสั่งอะไร ก็ติ๊กในช่องตัวเลขที่ต้องการ แล้วส่งให้พนักงานค่ะ
ตอนที่เลือกว่าจะกินอะไรไม่เป็นปัญหาเร้ยยย แต่อีตอนติ๊กใส่กระดาษเท่านั้นละเป็นเรื่อง เพราะมันเขียนแล้วเราสับสนว่าอันไหนเป็น set อะไร รูปก็ไม่มี
ต้องมาแมปชื่อเอาเอง หิวก็หิว สุดท้ายก็ร้องขอพนักงานว่าช่วยมาติ๊กให้ทีเห๊อะ -__-“
อาหารมาเสิร์ฟแล้วว ซึ่งตอนนี้ทุกคนเหมือนเหล่าซอมบี้ที่หิวโหย เราต้องรีบถ่ายรูปเก็บภาพก่อนหล่ะ
สิ่งที่พวกเราสั่งมา จะมีแบบเป็น set เค้าก็จะรวมซูชิหลายๆหน้ามาให้เรา มีไข่ปลา, ไข่หอยเม่น, แซลม่อน, ไข่หวาน, ปลาไหลย่าง และอื่นๆอีกมากมายวาไรตี้ ราคา set นี้ราคา 2,000 เยน
แล้วก็สั่งแบบเป็นคำๆ มาด้วย เน้นเฉพาะหน้าที่พวกเราชอบ จะมีกุ้งกับแซลม่อน
ซูชิสไตล์นี้คนญี่ปุ่นจะเรียกว่า “นิงิริซูชิ” เป็นซูชิที่ปั้นข้าวเป็นก้อนรูปวงรี แล้ววางเนื้อปลาดิบ, ปลาหมึก หรือวัตถุดิบทางทะเลไรก็ตามแต่ไว้ข้างบน และอาจจะทาวาซาบิไว้บนข้าวเล็กน้อย
ซูชิแบบนี้จะอร่อยหรือไม่อร่อย ขึ้นอยู่กับความสดของวัตถุดิบกว่า 50% ที่เหลือเป็นฝีมือของเชฟ คนญี่ปุ่นเค้าเลยต้องคัดเลือกวัตถุดิบสดใหม่เอามาทำ
ร้าน Sushi Zanmai นี่ ก่อนจะสั่งเค้าจะถามเราก่อนว่าพวกยูกินวาซาบิไหม ก็บอกไปว่ากิน แต่ตอนแรกก็งงว่าจะถามทำไม ปกติ (ในไทยเรา) ก็แยกเสิร์ฟวาซาบิอยู่แล้วใครอยากทานก็ทานไปสิ สุดท้ายก็รู้ว่า เชฟเค้าก็ทาวาซาบิมาบนข้าวให้เราเสร็จสรรพเลย
แล้วเคยสงสัยมั้ยว่า วาซาบิเขียวๆ หน้าตาที่แท้จริงก่อนถูกบดขยี้ มันเป็นไง? ตอนที่เดินตลาดซึกิจิก็บังเอิญไปเจอเข้า เลยได้เก็บภาพมาแถมให้เป็นความรู้ใหม่ๆ
อันนี้คือภาพวาซาบิสดนะจ๊ะ มันเป็นพืชตระกูลกระหล่ำ และเป็นสมุนไพรดั้งเดิมของญี่ปุ่น มีคุณสมบัติในการฆ่าแบคทีเรีย เชื้อราที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ และป้องกันฟันผุ (นี่มัน wording โฆษณายาสีฟันป่ะเนี่ย -_-)
คนญี่ปุ่นเอามาทานกับปลาดิบเพื่อดับคาว และเพิ่มรสชาติ โดยวิธีการกินวาซาบิของคนญี่ปุ่น เค้าจะเอาวาซาบิไปทาบนเนื้อปลา แล้วค่อยเอาปลาไปจิ้มโชยุนะจ้ะ มันจะได้รสชาติของวาซาบิกับปลาแบบเต็มๆ
ที่เห็นในภาพคือ รากแก้วของมัน เวลาเค้าทำวาซาบิเค้าก็จะเอารากไปฝนกับเครื่องฝนพิเศษที่ทำมาจากเหลือกปลาฉลาม จะทำให้วาซาบิละเอียดจนคล้ายกับครีมสีเขียว วาซาบิถือว่าเป็นพืชที่ให้ความฉุน 1 ใน 3 ของโลกที่ราคาสูงที่สุดเพราะปลูกยาก (อีก 2 อันคือ มัสตาร์ด กับฮอสแรดิช)
Cr. wikipedia (http://th. wikipedia.org/wiki/วาซาบิ)
หลังจากกินอิ่มเรียบร้อย ถามว่าอร่อยไหม ก็อร่อยพอๆ กับร้าน Sushi Goround ซูชิสายพานที่แม่น้ำซูมิดะ แต่ร้านนี้จะแพงกว่าหน่อย ที่นี่คิดราคาคำละ 98 เยน แต่ซูชิสายพาน 130 ได้ 2 คำ
ใครอยากลองมาชิมร้านนี้ก็ ดูตามแผนที่นี้ได้ พิกัด GPS: 35.665919,139.770531
มีแรงแล้วก็ออกเดินทางต่อ ที่เที่ยวช่วงบ่ายเป็นที่ตั้งตารอของเหล่าเด็กๆทั้งหลาย นั่นคือ DisneySea น่ะเอง แอร๊ยยยยย >_<
จากตลาดซึกิจิ จะไปดิสนีย์ เราก็จะนั่งสาย Hibiya Line จาก H10 Tsukiji ไปลงสถานี H11
Hatchobori (ฮัทโชโบริ)
แล้วเปลี่ยนเป็น JR Keiyo Line แล้วนั่งจาก Hatchobori ไปลงที่ Maihama (มาอิฮามะ) ราคาตั๋ว 210 เยนจาก Hatchobori ไป Maihama
อันนี้คือลักษณะของตู้กดตั๋วสาย JR สังเกตง่ายๆว่า มันจะเป็นสีเขียว และแผนที่รถไฟเหนือตู้กดตั๋วต้องมีคำว่า JR อยู่นะ
ตอนที่ดูราคาตั๋ว มันเทียบยากมากตัวหนังสือเยอะ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ที่ counter เลยว่า ถ้าจะไปสถานี Maihama ราคาเท่าไหร่ เค้าก็บอกว่าให้กด 210 เยน อย่างงี้ก็ง่ายดี ใครจะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะ
ตั๋วมาแว๊ววววว *0*
ถ้าดูจากแผนที่รถไฟฟ้า สรุปว่าเส้นทางของเราจะวิ่งไปตามเส้นประสีแดงแบบนี้นะจ้ะ เริ่มจากเบอร์ 1 ไปเปลี่ยนสายรถไฟที่เบอร์ 2 เป็น JR สาย Keiyo Line ไปลงเบอร์ 3
พอเรามาลงที่สถานี Maihama แล้ว ก็ออก South Exit เพื่อเลี้ยวซ้ายไปขึ้น
Disney Resort Line
แต่ถ้าใครไม่อยากขึ้น Disney Resort Line ก็สามารถเดินเข้าได้ด้วยนะ เค้าจะทำทางเดินไว้ให้ ถ้าเดินไป Tokyo Disneyland จากสถานี Maihama จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที (แต่ไม่แน่ใจว่าเดินไป DisneySea ได้รึป่าวนะ)
แต่เราอยากจะชมวิวในมุมสูงและเป็นการเซฟแรงไปด้วยในตัวอ่ะนะ ก็เลยเลือกนั่งรถ Monorail ดีกว่า
Disney Resort Line มันจะวิ่งเป็นวงกลม มีทั้งหมด 4 สถานี นะ
1. เริ่มจากสถานี Disney Resort Gateway station
2. Tokyo Disneyland station
3. Bayside station
4. Tokyo DisneySea station
เราเลือกซื้อแบบ One Trip On Day ราคา 250 เยนมันเป็นตั๋วแบบเหมาจ่าย จะลงสถานีไหนก็ได้ แต่สำหรับเราจะไปลงสถานีสุดท้ายเลยคือ Tokyo DisneySea station เรามากัน 4 คน เราก็กดปุ่ม 4 tickets เค้าก็จะรวมราคามาให้เราได้เลย รู้สึกสะดวกดีไม่ต้องมานั่งกดทีละใบ
ที่เลือกแบบนี้เพราะเราจะพุ่งตรงไป DisneySea อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้ไปแวะที่ Disneyland แต่ถ้าใครที่อยากจะเที่ยว Disneyland เช้า พอบ่ายก็วิ่งไป DisneySea แล้ววิ่งกลับไปส่วนของโรงแรมไรงี้ ก็แนะนำให้ซื้อตั๋วแบบ 1 Day Pass ดีกว่า ราคา 650 เยน ใช้ได้ทั้งวัน ทุกสถานี
พอได้ตั๋วแล้ว เราก็เข้าไปขึ้นรถโมโนเรลกันเลย
เราต้องขึ้นมาข้างบน รอแป๊บเดียว รถก็มาจอด สิ่งที่เห็นมาก่อนเลยคือ หน้าต่างเป็นทรงมิกกี้เม้าส์ *o*
เข้ามาข้างในแระ ที่จับก็ยังเป็นทรงมิกกี้เม้าส์อีกเหมือนกัน
ระหว่างทางที่นั่งรถ เค้าก็จะเปิดเพลงของ Disney ไปตลอดทางเลย รู้สึกได้บรรยากาศเหมือนอยู่ในการ์ตูนดิสนีย์มากๆๆๆ
ระหว่างทาง เราจะวิ่งผ่าน Tokyo Disneyland Hotel ด้วย ส่วนใหญ่ถ้ามาพัก ก็จะเที่ยวอยู่ใน Disneyland กะ DisneySea กันทั้งวันเลย
นั่งรถมาประมาณ 10 นาที ก็จะถึงปลายทางสถานี Tokyo DisneySea
แต่ตอนไปซื้อตั๋ว เค้าบอกว่ากระเป๋าเดินทาง กระเป๋าลากจะไม่ให้เอาเข้าไปในสวนสนุก ต้องฝาก Locker ไว้ พวกเราเลยเดินออกมาที่ห้อง Locker เพื่อเช่า Locker ไว้เก็บกระเป๋าก่อน มันจะอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้าเลย
เราซื้อตั๋วแบบ 1 Day Passport คือเล่นได้ทุกอย่าง ทั้งวันใน DisneySea ราคาใบละ 6,200 เยน หรือตกประมาณ 2170 บาท (เรทเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 56 100 เยน = 35 บาท)
เข้ามาใน DisneySea แล้ว เราก็จะลูกโลกยักษ์อยู่กลางลานน้ำพุ เห็นแบบนี้ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในโลกแห่งเวทมนต์กันเลยทีเดียว
เดินวนไปอีกด้านนึง จะเป็นจุดที่เหมือนเป็น landmark ของ DisneySea ก็คือ มิกกี้เม้าส์ แต่งตัวเป็นพ่อมด ข้างล่างทำเป็นรูปคลื่นทะเล สมชื่อ DisneySea
Tokyo DisneySea เนี่ย สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 2001 นับแล้วก็ผ่านมาสิบกว่าปี *0* เป็นสวนสนุกของ Disney แห่งเดียว ที่ใช้ธีมหลักเป็นมหาสมุทรในยุคต่างๆ มีทั้งหมด 7 โซน ทุกโซนจะเกี่ยวกับน้ำหมดเลย คือ
• เมืองลับแลสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (Lost river delta)
• ชายทะเลฝั่งอาหรับ (Arabian Coast)
• ทะเลสาบนางเงือก (Mermaid Lagoon)
• เกาะลึกลับ (Mysterious Island)
• ริมน้ำฝั่งอเมริกา (American Waterfront)
• เมืองเรือแห่งการค้นพบ (Port Discovery)
• ท่าเรือเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Harbor)
ข้อมูลจาก : http://th.wikipedia.org/wiki/โตเกียวดิสนีย์ซี
ซึ่ง DisneySea เนี่ย มีที่เดียวในโลกก็คือที่ญี่ปุ่น ฉะนั้นถ้าจะมาเที่ยว DisneySea ต้องมาที่ญี่ปุ่นเท่านั้นนะจ้ะ
วันที่พวกเราไป เป็นช่วงวันธรรมดา แต่ก็ยังเห็นคนเยอะอยู่เหมือนกัน มีทั้งกลุ่มเด็กนักเรียน และพวกนักท่องเที่ยว
กางแผนที่ให้ดูกันเลยดีกว่า ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงจุดที่วงไว้ ตรงที่เป็นลานกว้างแล้วมีลูกโลกอยู่ตรงกลาง
เอาหล่ะ ได้เวลาพาเดินเที่ยว DisneySea กันแระ
อย่างที่รู้ว่า ดิสนีย์ที่ญี่ปุ่นมีทั้ง โตเกียวดิสนีย์แลนด์ และโตเกียวดิสนีย์ซี ใช่มะ ซึ่งสวนสนุกทั้ง 2 ที่นี้ตั้งอยู่ติดกัน และมีโรงแรมต่างๆล้อมรอบ รวมเรียกพื้นที่ทั้งหมดนี้ว่า “โตเกียวดิสนีย์รีสอร์ท” (Tokyo Disney Resort) นั่นเอง
โดย Tokyo Disney Resort นี้ ตั้งอยู่ในเมืองอุระยะซุ เขตจังหวัดชิบะ
ก็หมายความว่า ตอนนี้เราอยู่ที่จังหวัดชิบะ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีทะเลล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน และเป็นที่ตั้งของสนามบินนาริตะด้วย ซึ่งก็อยู่ไม่ห่างจากโตเกียวเท่าไหร่
อ้าว.. แล้วไมเรียกโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ทละ? ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่จากที่อ่านมาเค้าว่าเพราะว่ามันยังอยู่ในส่วนของมหานครโตเกียว ก็เลยเรียกว่าโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ทไปเลย ถ้าใครมีข้อมูลเพิ่มเติมก็เม้นกันไว้ได้นะจ้ะ : D
ตอนนี้เราเดินทะลุมาถึงโซน Mediterranean Harbor กันแล้ว จะเห็นชายฝั่งแล้วก็มีเรือเทียบท่าอยู่
ถ้ากางแผนที่ออก เรากำลังเดินเข้ามาอยู่ตรงที่วงกลมเอาไว้
จากจุดนี้ เราจะมองเห็นภูเขาไฟและเมืองริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นี่ไม่ใช่ภูเขาจริงๆนะ เป็นภูเขาไฟจำลอง แต่เค้าสร้างได้เหมือนภูเขาจริงมากกกกก
จะมีเรือพาเที่ยวชมวิวด้วยนะ เค้าทำเป็นสไตล์เรือกลไฟในยุคแห่งการสำรวจ
อย่างที่รู้ว่า ที่นี่คือ Disney Resort มีคำว่า Resort ก็คือมีที่พักนั่นเอง ใน Disney Resort จะมีโรงแรมอยู่หลายเครือ แต่โรงแรมที่เป็นของ Disney เองจะมีอยู่ 3 โรงแรมคือ
- Disney Ambassador Hotel
- Tokyo DisneySea Hotel
- MiraCosta Tokyo Disneyland Hotel
ซึ่งโรงแรมที่อยู่ใน area ของ Disney Sea เลยก็คือ Hotel MiraCosta ที่เห็นสีส้มๆด้านหลัง
ตึกนี้ พี่เก้าเห็นแล้วก็ดี๊ด๊าใหญ่เลย เพราะชอบการตกแต่งรอบๆตัวตึก ที่ออกแนวยุโรปโบราณ
MiraCosta Hotel จะมีประตูเข้าออกจากโรงแรมไป DisneySea ได้เลย ตัวโรงแรมก็เป็นส่วนนึงของ DisneySea ไปด้วย อย่างงี้ถ้ามาพักที่นี่ ก็เหมือนพักอยู่ใจกลาง DisneySea เลยนะเนี่ย *0*
ตอนนี้เริ่มหิวนิดๆ อยากหาอะไรทานเป็นของว่างสักหน่อย แถวๆ โซนเมดิเตอร์เรเนียนก็มีร้านขายของกินอยู่ 2-3 ร้าน แต่เราเลือกกินอะไรที่มันไม่หนักท้องมากดีกว่า แล้วค่อยไปจัดเต็มตอนเย็น
เราเลยเลือกมาทานเบเกอรี่ที่นี่ เป็นร้านเล็กๆ เข้ามาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในร้านขนมปังในโซนยุโรปย้อนยุค
มีของตกแต่งที่เข้าธีมกัน
พนักงานขายนี่ นึกว่าโดดออกมาจากการ์ตูนดิสนีย์ เค้าจะใส่กระโปรงยาวและมีผ้ากันเปื้อน เหมือนสาวยุโรปโบราณ
มีภาพเขียนหนมปังที่ฝาผนังด้วย แต่เค้าทำให้มันดูโบราณด้วยการใส่เอฟเฟคผนังแตกร้าวเข้าไป
ทนไม่ไหว ขอเรียกพี่เก้ามาถ่ายรูปกะหนมปังหน่อย
มาดูกันซิว่ามีอะไรให้หม่ำบ้าง ก็จะเป็นพวกขนมปังเบเกอรี่ธรรมดาทั่วไปแหละ
แต่ความพิเศษคือ บางเมนูเค้าก็อบเป็นเชปมิกกี้เม้าส์ เราเลยหยิบมาชิมซะเลย
วิธีการซึ้อก็ง่ายม๊าก คีบใส่ถาดเองแล้วก็ยกไปจ่ายตัง
ข้างนอกร้านจะมีโต๊ะให้เรานั่งทานสบายๆ เราก็ซื้อออกมานั่งทานข้างนอก อันนี้คือสิ่งที่เราคีบมา ก็เป็นขนมปังเบเกอรี่ธรรมดาๆนี่ละ แต่เนื้อหนมปังจะนุ่ม
รสชาติก็ใช้ได้เลยนะ จัดว่าเป็นเบเกอรี่ที่ดีเลยหล่ะ
อันนี้รู้สึกชอบ ออกแนวไข่ผสมน้ำสลัดทานกับแฮม ของพี่ไดเรคเตอร์ ก็โดนแอบจกไปเรียบร้อย
แต่อันนี้ชอบสุด ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เพราะเป็นรูปทรงมิกกี้เมาส์ ^-^
ซื้อกาแฟมาด้วยนะ เค้าจะใส่ถ้วยกันร้อนมาให้ แล้วเรามาเลือกเติมนม + น้ำเชื่อมเอง
โปรดสังเกตที่คนกาแฟซะก่อน ทำเป็นหัวมิกกี้ด้วย น่ารักเมะ *0* ของเล็กๆน้อยๆเค้ายังอุตส่าห์ทำให้เข้าธีม ชอบมากเลย
แม้แต่ดอกไม้ที่นี่ ยังเป็นทรงมิกกี้เรย คิดดู๊.. ^^”
เอาหล่ะ หลังจากพักทานของว่างจนอิ่มเรียบร้อย ก็เดินกันต่อ
กางแผนที่ก่อน ตอนนี้เราก็เดินไปตามทางยาวเรื่อยๆเลย และไปสุดที่ Lost River Delta
ระหว่างทางเดินไป อีกอย่างที่ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในโลกตัวการ์ตูน ก้อคือการแต่งตัวของคนที่มาเที่ยวนี่แหละ
จะมีพร็อพขายอยู่ตรงหน้าทางเข้า DisneySea เลย เป็นหมวกตัวการ์ตูนต่างๆของดิสนีย์ อย่าง มิกกี้, มินนี่, กู้ฟฟี่, โดนัลดั๊ก บลาๆๆ อีกมากมาย แขวนขายบนรถเข็นแบบเนี้ย
เราก็เลือกแต่งไปเลย แล้วแต่จินตนาการว่าอยากจะเป็นตัวการ์ตูนอะไร
ยัง.. ยังไม่หมดแค่นั้น เค้ายังมีดีไซน์หมวกมิกกี้เป็นลายต่างๆอีกด้วย อย่างอันนี้เป็นลายเสือสีชมพู ออกแนวเปรี้ยวอมหวาน
ส่วนอันนี้ออกแนวพ่อมดมิกกี้
เรียกว่า ทำมาหลายแบบมาก ถ้าได้ไปเลือกๆดูตรงซุ้มที่เค้าขาย รับรองว่าต้องถูกใจเข้าสักแบบละว๊า
แต่ถ้าไม่ชอบใส่หัว เค้าก็มีกระเป๋าการ์ตูนให้ซื้อมาครีเอทแฟชั่นกันตามใจชอบได้เลย
เพราะ ณ จุดๆนี้ ไม่มีใครมองว่าใครประหลาดอีกแล้ว แม้ว่าคุณจะใส่ชุดมนุษย์ปลาเดินไปเดินมาก็ตามที -..-
การได้มองดูแฟชั่นของผู้คนใน DisneySea มันก็เป็นความเอ็นเตอร์เทนอย่างนึงเหมือนกันนะ
คนที่ไม่แต่งเป็นตัวการ์ตูนเลยก็มีนะ พวกนี้ก็จะเป็นแฟชั่นหน้าหนาวของญี่ปุ่นเค้าละ
ส่วนบางคนก็คอสเป็นการ์ตูนแบบจัดเต็ม..
ส่วนอันนี้แฟชั่นชุดนักเรียน... เอ้ยไม่ใช่ นี่นักเรียนจริงๆสิ -..-
ดูกันเพลินๆตลอดทางเลย ที่สำคัญคนมาเที่ยวสวนสนุกส่วนใหญ่ทุกคนจะดูมีความสุขสดชื่นกันทั้งนั้น
แม้แต่แม่ยังสนุกไปด้วย แม่บอกว่าตื่นเต้นเพราะเกิดมาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยได้เที่ยวสวนสนุกแบบนี้เลยจ้า เพราะอย่างงี้ เราเลยรู้สึกชอบสวนสนุก เพราะมันเป็นที่ๆรวมบรรยากาศความสุขไว้ที่นี่
ไปต่อกันดีกว่า ตอนนี้เราก็เดินมาถึง Venetian Gondolas กันแระ แต่ก็ยังอยู่ในโซน Mediterranean Harbor อยู่
ตรงนี้เป็นการจำลองเมืองเวนิส อิตาลี แต่ไม่รู้ว่าเหมือนของจริงรึป่าวนะ เคยเห็นแต่ภาพถ่ายเมืองเวนิส
ตรงด้านหน้าจะมีร้านขายของที่ระลึกด้วย
ถ้าให้ดูบรรยากาศตรงนี้ก็รู้สึกว่า แหม่..มันช่างโรแมนติกราวกับอยู่ในเมืองเวนิสจริงๆเร้ย
ใครอยากนั่งเรือกอนโดลาก็ได้นะ เค้าก็ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวมาล่องเรือชมวิว 2 ฝั่งคลองกัน
เคยได้ยินว่า ถ้าเป็นกอนโดลาที่อิตาลี คนพายบางคนก็จะร้องเพลงไปด้วย แต่คนพายเรือที่นี่ดูเหมือนจะไม่ได้ร้องเพลงให้เราฟังนะ อิอิ
ดื่มด่ำกับบรรยากาศเมืองเวนิสพอสมควรแระ ไปต่อกันดีกว่า ถ้าช้าเด๋วจะเดินไม่ทั่ว
เชื่อมั้ยว่า ระหว่างทางเดินไปที่ๆนึงเนี่ย กินเวลาเยอะเหมือนกัน
เพราะพวกเราจะตื่นเต้นกับวิวรอบๆ ระหว่างทางที่เดิน เลยวิ่งไปถ่ายรูปกันตรงโน้นที ตรงนี้ที
มันก็เลยเป็นอาการจับปูใส่กระด้ง พอเผลอหน่อย ปูก็วิ่งไปเก็บรูปกันแระ -_-“
ต้องคอยเรียกปูมารวมตัวกัน ไม่งั้นเด๋วไปไม่ถึงไหนกันซะที อิอิ
ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจว่า DisneySea มันมีอะไรให้ถ่ายรูปเยอะมว๊ากก
สิ่งก่อสร้างทุกอย่างที่เค้าสร้างไว้ในนี้ ทำออกมาเนี้ยบมาก ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนเมืองจริงๆเลย
ระหว่างทางเดินไปโซน Lost River Delta เราจะผ่านรถรางไฟฟ้าด้วย ตรงนี้จะเป็นรถของโซน Port Discovery ถ้านั่งจากตรงนี้จะเราจะได้เก็บวิวโซน Port Discovery ในมุมสูงได้ด้วย ซึ่งเด๋วเราจะกลับมานั่งอีกที
เอาหล่ะ พอข้ามสะพานนี้ไป เราก็จะเข้าสู่โซน Lost River Delta กันแล้ว
โซนนี้ สร้างจำลองเมืองลับแล ในป่าดงดิบบริเวณปากแม่น้ำ
บรรยากาศในโซนนี้ให้ฟิลของการผจญภัยเพื่อค้นหาอารยธรรมชนเผ่าในป่าดงดิบจริงๆ
ภาพที่เห็นอันนี้คือเครื่องเล่นแนวผจญภัยชื่อ Indianna Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull เหมือเป็นการนั่งรถ off-road เข้าไปผจญภัยในพีระมิด ผ่านกับดักต่างๆ ดูแล้วน่าหนุก แต่เราไม่ได้เข้าไปเล่น เพราะมีอีกหลายโซนที่ยังไม่ได้ไป
ฟิลตอนนี้เหมือนเรากำลังเป็นคณะสำรวจที่นำเครื่องบินลงจอดตรงปากแม่น้ำ นั่นไง เครื่องบินของพวกเรา
โซนนี้ยังมีเครื่องเล่นอีกเยอะมาก ทั้งรถไฟเหาะ และก็นั่งเรือกลไอน้ำล่องไปตามแม่น้ำในป่าดงดิบ แต่โซนนี้เราแวะแค่แป๊บเดียว ต้องออกเดินทางกันต่อแระ
ตามสัญญา เราก็กลับมานั่งรถรางไฟฟ้าของโซน Port Discovery กัน รถรางนี้เค้าทำเลียนแบบรถจักรไอน้ำสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ไว้นั่งระหว่างโซน Port Discover กับ American Waterfront
ตรงนี้คือโซน Port Discovery เป็นโซนที่ติดกับทะเลของจริงเลย พื้นที่ไม่ค่อยใหญ่มากมีเครื่องเล่นไม่กี่อย่าง แต่ก็ดูน่าสนุกนะ อย่างที่เห็นนี่คือ StormRider เป็นเครื่องเหมือนเป็นโรงหนัง 4 มิติ พาบินเข้าไปใจกลางพายุ ดูตื่นเต้นดี แต่ไม่ได้แวะอีกตามเคย ไว้มาอีกรอบต้องเล่นให้ครบ >_<
อันนี้เป็น Aquatopia เป็นเครื่องเล่น ให้เรานั่งบนเรือเล็กๆ แล้วเรือจะหมุน พาเราเคลื่อนที่หลบก้อนหิน น้ำวน น้ำพุ น่าสนุกดี
ตอนนี้เราเข้าสู่โซน American Waterfront กันแล้วนะจ้ะ คอนเซปท์ของโซนนี้คือ ท่าเรือแห่งอเมริกา
ตรงนี้คือท่าเรือ New York เรือลำยักษ์ที่เห็นข้างหลัง คือ SS Columbia เป็นเรือจักรไอน้ำที่ดีไซน์ในยุคปี 1900
อารมณ์ภาพแบบนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องไททานิคจริงๆ -_-
ที่มาข้อมูล : http://en.wikipedia.org/wiki/SS_Columbia_(Tokyo_DisneySea)
รถรางจะวิ่งเข้ามาจอดส่งเราในเมือง ซึ่งเมืองในโซน American Waterfront จะทำจำลองเมืองนิวยอร์คในยุคปี 1900
รู้สึกว่าเค้าทำได้สมจริงมาก ตัวตึกมีการทำสีลอกๆ เพื่อให้ดูเป็นตึกเก่าๆ แต่ยังคงความคลาสสิคเอาไว้
พอลงจากรถราง ตอนนี้เราก็อยู่ในเมืองนิวยอร์กกันแล้ว ไปเดินชมเมืองกันดีกว่า
พูดได้เลยว่า เค้าทำเมืองได้เหมือนจริงมาก อย่างกับเราย้อนเวลา วาร์ปไปยังนิวยอร์กในอีกยุคนึงเหมือนที่เคยเห็นในหนังเลย
ถ้าสังเกตที่พื้นถนนนะ จะมีรางอยู่ด้วย เพราะเค้าจะมีบริการรถสำหรับนั่งชมเมือง
รถสไตล์นี้ เป็นรถที่นิยมมากในอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 1900 นับๆแล้วก็ประมาณเมื่อ 100 ปีที่แล้วอะน่ะ o_O!
ตึกที่เห็นพวกเนี้ย มันเป็นตึกที่เปิดเป็นร้านขายของจริงๆเลย ไม่ใช่มาเป็นฉากแบนๆนะ
เค้าก็ทำเป็นร้านขายของที่ระลึกของ Disney นี่แหละ
บางร้านก็เป็นร้านอาหาร ขายอาหารทานเล่น เครื่องดื่มไรงี้
แต่ถ้าใครไม่อยากเข้าร้านนั่งทาน เค้าก็มีรถเข็นขายขนมอยู่ข้างทางด้วย มันช่างเหมือนเมืองจริงๆเลย
ไหนๆก็มาถึงแระ ขอเล่า story ของโซนนี้สักเล็กน้อยละกันนิ
American waterfront แบ่งออกเป็น 2 Theme คือ ส่วนที่เป็นหมู่บ้านชาวประมงชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หรือประมาณปี ค.ศ. 1900 ซึ่งเราไม่ได้แวะลงไปดู
กับอีก Theme นึงคือส่วนท่าเรือนิวยอร์ค ที่มีเรือ SS Columbia จอดอยู่หน่ะ
และรวมไปถึงส่วนของ Street in New York ด้วย
Theme ของเค้าคืออเมริกาในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นช่วงที่เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้แรงงานคน หรือสัตว์ ไปใช้เครื่องจักรแทน ทำให้การผลิตสินค้าในช่วงนั้น ทำได้เร็วปื้ดป๊าด และเกิดความผิดพลาดน้อยมาก
โดยในตอนนั้น เริ่มต้นจากเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำ หรือที่เราเรียกว่าเครื่องจักรไอน้ำนั่นแหละ ซึ่งถูกคิดค้นโดยเจมส์ วัตต์
เครื่องจักรในยุคแรกๆ เลยออกมาในรูปของ รถจักรไอน้ำ (ที่มันจะคล้ายๆรถไฟอ่ะ) , เรือกลไฟ และเครื่องทอผ้า สังเกตว่าจะเป็นพวกเครื่องมืออำนวยความสะดวกทั้งนั้นเลยนะ ทำให้เศรษฐกิจในช่วงนั้นโตเร็วมาก
ความเจริญก็เข้ามาในเมืองอย่างเร็ว ในโซน American Waterfront ก็เลยเป็นโซนที่นำเสนอภาพในยุคนั้นให้เราเห็นกันเป็นรูปเป็นร่างน่ะเอง..
ก็เล่าพอให้เห็นภาพกันเนอะว่า Theme นี้มีที่มาที่ไปยังไง
ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงทไวไลท์แล้ว เมืองนี้จะเป็นสวรรค์ของเหล่าตากล้องกันเลยทีเดียว
เพราะตึกต่างๆจะเริ่มเปิดไฟ ทำให้เราได้ภาพเมืองย้อนยุค ดูแล้วได้อารมณ์โรแมนติก
แต่เด๋วก่อน!! ที่ American Waterfront ไม่ได้มีแต่เมืองสวยๆ ไว้ให้ดินเล่น ช้อปปิ้ง ถ่ายรูปกันอย่างเดียวนะจ้ะ..
มันยังมีเครื่องเล่นที่ทำให้คุณถึงขั้น กรีดร้องได้ นั่นก็คือ
Tower of Terror โดยมี story คือ ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1912 มีโรงแรมแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้จักในชื่อ Tower of Terror หรือหอคอยแห่งความสยองขวัญ เพราะการหายตัวไปอย่างลึกลับของเจ้าของโรงแรม ไม่มีใครพบเค้าอีกเลย
หลังจากนั้นก็ได้มีการบูรณะซ่อมแซมโรงแรมนี้ไปพร้อมกับเมืองนิวยอร์ค และเปิดให้คนเข้าไปใช้บริการ
แต่..หลังจากที่คุณขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุด ก็เกิดความสยดสยองขึ้น มันคืออะไรนั้น ลองไปเล่นกันเองละกันนะจ้ะ จุ๊บุ จุ๊บุ
เข้าไปดูกันได้ใน Link นี้
http://www.tokyodisneyresort.jp/en/tds/atrc/waterfront/tot/index.html
เหม่.. ก็พวกเราเวลาน้อย เลยไม่ได้ไปเล่น ถ้ามาญี่ปุ่นอีกจะรีเควสขอมาเล่นให้ครบทุกเครื่องเรยนะเตง จะรีวิวให้ดูกันอย่างถึงพริกถึงขิงเลยทีเดียว
ได้เวลาไปต่อแล้ว นี่ยังเหลืออีกหลายโซนที่เรายังไม่ได้แวะไปดูกันเลยนะเนี่ย
ถ้าดูจากแผนที่เดิม พอเดินต่อจาก American Waterfront เราก็จะวนกลับมาเจอโซน Mediterranean Harbor อีกครั้งนึง
มันจะคนละอารมณ์กับ American Waterfront ตะกี้นี้เลยนะ เพราะที่โซน Mediterranean Harbor จะทำเป็น Theme ท่าเรือที่อิตาลี และเป็นเมืองเวเนเชี่ยน มีเรือกอนโดลาลอยไปลอยมาหลายลำ ^^
พออยู่ในช่วงเวลาเย็นๆใกล้ค่ำแบบนี้ บรรยากาศมันสุดแสนจะโรแมนติกจริงๆเรยนะเตง แอร๊ยยยยยย >_<
และถ้าวนมาอีกด้านนึง ที่เป็นฝั่งตรงข้าม จะมีเรือเดินสมุทรจอดอยู่
เรือแบบนี้ เป็นเรือที่อยู่ในยุคแห่งการสำรวจ (Age of Exploration) ตั้งแต่ช่วง ค.ศ 15 – 17 เป็นช่วงที่ขาวยุโรปเริ่มออกสำรวจทะเลไกลออกไปจากพื้นที่ของตัวเองเพื่อหาคู่ค้า
และสินค้าที่ฮิตติดตลาดในช่วงนั้นที่สุด นั่นก็คือ ทอง, เงิน และเครื่องเทศนั่นเอง
ในการเดินเรือ เค้าจะใช้วิธีการเดินทางสำรวจแบบใหม่โดยดูทิศทางจากดวงดาวและเข็มทิศ
ส่วนเรือที่เห็นลำนี้ จำลองมาจากเรือที่ออกแบบโดยโปรตุเกส เป็นเรือเดินทะเลที่สามารถฝ่าคลื่นลมแรงๆในมหาสมุทรแอตแลนติกได้ ดูแล้วก็น่าจะไหวนะเพราะถ้าไปเห็นของจริง เรือนี้ลำใหญ่มว๊ากกก
พอพูดถึงการออกสำรวจ ก็รู้สึกถึงการผจญภัยเนอะ เราไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเราจะไปเจอกับอะไรมั่ง มันทำให้รู้สึกตื่นเต้น
(Cr. th.wikipedia.org/wiki/ยุคแห่งการสำรวจ)
อาจเป็นธรรมชาติของคนที่อยากจะผจญภัยไปในที่ๆไม่เคยไปบ้าง ไม่งั้นเราคงไม่ออกมาท่องเที่ยวแบบนี้หรอก จริงมั้ย
เอาหล่ะ ได้เวลาเดินต่อกันแระ จากตรงนี้ เราเดินลอดถ้ำไปเราจะไปเจออะไรกันน๊า...
โผล่ออกมาจากถ้ำ เราจะเจอสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ก่อนเลย ที่นี่คือโซน Mysterious Island จ้า
โซนนี้ สร้างตาม concept ของนิยายวิทยาศาสตร์สุดฮิต ที่ชื่อ “Twenty Thousand Leagues Under the Sea” หรือชื่อไทยว่า “ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1870 และมีคนเอาไปแปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก
นับๆแล้ว ถ้าปีนี้เป็นปี 2014 ก็เป็นนิยายที่เขียนมาแล้วรวม 144 ปีแล้วสินะ อะจ๊ากส์ o_O!
ซึ่งคนเขียนนิยายเรื่องนี้คือ จูลส์ เวิร์น (Jules Verne) เป็นนักเขียนชาวฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์สมัยแรกๆ จนได้รับการยกย่องให้เป็น
”บิดาแห่งนิยายวิทยาศาตร์”
นิยายที่เค้าแต่งจะเป็นเรื่องราวของการเดินทาง การผจญภัย ความตื่นเต้น และสะเทือนใจ ที่สำคัญคือสอดแทรกจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ที่คนในสมัยนั้นยังคิดไปไม่ถึง
(Cr. : th.wikipedia.org/wiki/ฌูล_แวร์น)
ต่อมา Disney ก็เอาเรื่องใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์นี้ไปทำเป็นหนังในปี ค.ศ. 1954 นำแสดงโดย เคิร์ก ดักลาส
(Cr. : http://www.disneydreaming.com/2010/05/17/new-walt-disney-pictures-20000-leagues-under-the-sea-movie/)
เรื่องราวของนิยาย พูดถึงเรื่องราวการออกสำรวจใต้ทะเลของกัปตันนีโม และเรือดำน้ำนอติลุส ผ่านมุมมองของ ศจ. ปิแอร์ แอรอนแนกซ์ นักชีววิทยาผู้โดยสารไปกับเรือ
โดยเรือดำน้ำนอติลุส จะดำดิ่งลงไปในความลึกถึง 20000 โยชน์ และไปพบกับความน่าสะพรึงกลัวของท้องทะเล
โดยตอนที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิยายเรื่องนี้ คือตอนที่เรือนอติลุส โดนโจมตีโดยปลาหมึกยักษ์ ลูกเรือต้องต่อสู้กับปลาหมึกยักษ์และเสียชีวิตไปหลายคน
ในจินตนาการของจูลส์ เวิร์น เจ้าเรือดำน้ำนอติลุสมีรูปทรงเหมือนซิการ์ และเป็นเหมือนบ้านและห้องปฏิบัติการทดลองวิจัย
(Cr. th.wikipedia.org/wiki/ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์)
ซึ่ง Disney ก็นำจินตนาการมาสร้างให้เราเห็นกันเป็นรูปเป็นร่างเลย
จูลส์ เวิร์น นำชื่อของเรือดำน้ำนอติลุส มาจากชื่อเรือดำน้ำลำแรกของโลกที่ใช้งานได้จริงที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1800 โดยโรเบิร์ต ฟุลตัน ในภายหลังชื่อนี้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา หลายลำ ว่า "ยูเอสเอส นอติลุส" รวมทั้งเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ลำแรกของโลก "ยูเอสเอส นอติลุส (SSN-571)"' สร้างในปี ค.ศ. 1954
เหม่.. Disney จะทำอะไรก็ต้องมี Story เสมอ มันเลยทำให้เรารู้สึกสนุก และตื่นเต้นไปกับสถานที่นี้ด้วย
จริงๆยังไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าได้อ่านมาก่อนคงจะรู้สึกอินกับสถานที่มากขึ้นแน่ๆ
เครื่องเล่นที่โซนนี้ มีอยู่ 2 อย่าง นั่นก็คือ Journey to the Center of the Earth มันจะคล้ายๆนั่งรถไฟเหาะ พาเราเดินทางไปในกลางโลก
จะออกแนวตื่นเต้นๆ เพราะยืนถ่ายรูปอยู่ตรงเนี้ย จะได้ยินเสียงกรี๊ดมาเป็นระยะๆ พร้อมเสียงภูเขาไฟระเบิดดังสนั่นลั่นโลก >_<
อีกเครื่องเล่นนึงคือ 20,000 Leagues Under the Sea ตั้งตามชื่อนิยายกันเลย
เป็นเครื่องเล่นทำเหมือนเป็นเรือดำน้ำนอติลุส ที่พาเราลงไปสำรวจโลกที่หายสาบสูญในทะเลแอตแลนติค (ไดเร็คอดไม่ได้ที่จะขอถ่ายโบเก้เล่นซะหน่อย)
จะสนุกขนาดไหนต้องไปลองเล่นเอง พวกเราก็ยังไม่ได้ลองอีกเช่นเคย ก็เลยแค่เก็บภาพบรรยากาศมาให้ดูกันนะจ้ะ
ป่ะ เดินกันต่อ ความสนุกอีกอย่างของเราคือ เราไม่รู้ว่าโซนต่อไปจะเป็นอะไร พอไปเจอ ก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกนึง ที่มันคนละอารมณ์กะตะกี้นี้
ระหว่างทางที่เดิน เราจะผ่านโซน Arabian Coast ซึ่ง story ของโซนนี้ก็ตามเรื่องอลาดินเลย ที่มียักษ์จินนี่ในตะเกียงวิเศษ และพ่อมดจาฟาร์ แต่เราไม่ได้เข้าไปเพราะฝนเริ่มตั้งเค้ามาแล้ว ตอนนี้คงต้องเที่ยวโซนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก่อน ถ้าเวลาเหลือและฝนยังไม่ตกก็ค่อยเข้าไปละกัน
เดินต่อมาอีกหน่อย เราเริ่มมองเห็นปราสาทเปลือกหอย ที่นี่คือโซน
Mermaid Lagoon
Concept
ที่นี่ มาจากเรื่อง The Little Mermaid เลย และที่ๆเราอยู่ตรงนี้คือวังของ King Triton ซึ่งเป็นพ่อของเจ้าหญิงเอเรียล (Arial) นางเอกของเรื่อง
ตามสไตล์.. เรามีเวลาไม่มาก เลยแค่เดินเข้าไปถ่ายรูปข้างในเฉยๆ ไม่ได้เล่นเครื่องเล่นอะไร แต่เท่าที่ดูในโซนนี้ จะมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กซะส่วนใหญ่ ลองเข้าไปดูบรรยากาศกัน และระหว่างนี้จะเล่าเรื่องราวของ Little Mermaid ไปด้วยละกันนะ
ตามเนื้อเรื่อง King Triton คือพระราชาผู้ปกครองอาณาจักรแห่งใต้ทะเล โดยวังใต้น้ำนี้ สร้างอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติคน่ะเอง
King Triton มีลูกสาวทั้งหมด 7 พระองค์ แต่นางเอกของเราเป็นเจ้าหญิงองค์สุดท้อง ชื่อ “เอเรียล”
เจ้าหญิงเอเรียล ชอบเก็บสะสมของจากโลกมนุษย์ และฝันว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปบนโลกมนุษย์สักครั้ง
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหญิงก็ออกเที่ยวเล่นตามปกติ และบังเอิญได้ไปเห็นเจ้าชายอีริค (Eric) นางเอกของเราก็เริ่มตกหลุมรักเจ้าชายอย่างจัง
ทันใดนั้น ก็เกิดพายุอย่างรุนแรง พัดเอาเรือเจ้าชายจมลงก้นทะเล เอเรียลจึงรีบเข้าไปช่วยชีวิตเจ้าชาย พาขึ้นมานอนบนชายหาด และร้องเพลงเพื่อให้เจ้าชายฟื้นคืนสติ
ยังไม่ทันที่เจ้าชายจะฟื้นดี ก็มีคนมา เอเรียลเลยต้องรีบหนีไปก่อน เจ้าชายอีริค จึงจำได้แต่เสียงเพลงเพียงลางๆเท่านั้น แต่ก็พยายามตามหาว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตตัวเองไว้
ด้วยความรักที่เอเรียล มีต่อเจ้าชายอีริค เลยไปขอความช่วยเหลือจากนางแม่มดเออซูล่า (Ursula) ให้เสกขาให้ โดยแลกกับเสียงของเอเรียล ทำให้เอเรียลพูดไม่ได้ และร้องเพลงไม่ได้อีกต่อไป (เอเรียลเสียสละเพื่ออีริคมาก ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าเค้าจะรักเรารึเปล่าเรย เฮ้อ)
จากนั้นเอเรียลก็ขึ้นไปพบกับเจ้าชายอีริค แต่อีริคก็ยังจำเอเรียลไม่ได้อยู่ดี
สุดท้าย แม่มดเออซูล่าก็แปลงร่างเป็นสาวสวยและใช้เสียงของเอเรียลออกมาประกาศตัวว่าตัวเองเป็นคนช่วยเจ้าชาย แถมยังใช้มนต์สะกดอีริคให้หลงใหล เจ้าชายอีริคจึงประกาศจัดงานแต่งงานกับเออซูล่าทันที (แอร๊ยยยย นังแม่มดนี่มันร้ายเจงๆ เอ๊ะนี่อินไปรึป่าวเนี่ย >_<)
แต่สุดท้าย ด้วยความพยายามของเอเรียลผู้ไม่ยอมแพ้ เธอจึงไปขัดขวางพิธีแต่งงานของเออซูล่า และทำให้เจ้าชายอีริคฟื้นจากมนต์สะกดของแม่มด
เออซูล่า คืนร่างกลายเป็นปลาหมึกยักษ์ และต่อสู้กับเจ้าชายอีริคอย่างดุเดือด
สุดท้าย เจ้าชายก็ขับเรือแล่นไปเสียบทะลุพุงแม่มดเออซูล่าเสียชีวิต เล่นเอาเจ้าชายเกือบจะเดี้ยงอยู่กลางทะเลซะแร้ว
และก็ตามสไตล์การ์ตูนวอลท์ ดิสนีย์ จบแบบ Happy Ending
เอเรียลก็ได้รับขามนุษย์ โดย King Triton เป็นผู้เสกขาให้ และได้แต่งงานกับเจ้าชายอีริค ครองรักกันอย่างมีความสุข.. จบบริบูรณ์
แต่ดิสนีย์ เค้าก็สร้างภาคต่อมานะ เป็นภาคของลูกสาวเอเรียล กับอีริค จะเป็นงัยไปหาดูกันเอาเอง
ตอนนี้คงไม่ได้ไปโซนอื่นต่อแล้ว เพราะเริ่มหมดแรง และฝนก็เริ่มตกพรำๆ พวกเราเลยเตร็ดเตร่ถ่ายรูปอีกแป๊บนึง และขอจบทริปของวันนี้กันที่นี่เลยเนอะ
ทีนี้ มันก็มีคำถามจากมิตรรักแฟนเพลง ถามว่า “ถ้าหนูมาญี่ปุ่นแล้วมีเวลาแค่วันเดียว หนูจะเลือกเที่ยวไรดีคะ ระหว่าง Disneyland กะ DisneySea? ”
ถ้าในความเห็นพวกเราที่ได้มาเที่ยว Disney Sea และได้ไป Disneyland ที่ฮ่องกงมาแล้ว ก็สรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้นะจ้ะ
1. ถ้าคุณเป็นคนที่ยังไม่เคยมาญี่ปุ่น ยังไม่เคยเที่ยวดิสนีย์แลนด์ใดๆทั้งสิ้น กว่าจะหาเวลาเที่ยวมาได้แทบจะหืดขึ้นคอ แนะนำให้มา Tokyo DisneySea เพราะหาที่ไหนในโลกไม่ได้แล้ว นอกจากญี่ปุ่นเท่านั้น
2. ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดู show ความอลังการ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโชว์ที่อยู่กลางน้ำ), ชอบความตื่นตาตื่นใจของเมืองแฟนตาซี, ชอบเครื่องเล่นแนวผจญภัย ก็มาที่ Tokyo DisneySea
3. แต่ถ้าคุณ เป็นคนที่ชอบ ตัวการ์ตูนมิกกี้ มินนี่ โดนัลดั๊ก ปราสาทเจ้าหญิง และหนังการ์ตูนอื่นๆของ Disney อย่าง Toy Story หรืออยากจะดูขบวนพาเหรดตัวการ์ตูน ก็มาที่ Tokyo Disneyland
หรือสรุปง่ายๆ คือ Disneyland มันจะออกแนวเด็กๆ หน่อย แต่ถ้าเป็น Tokyo DisneySea ก็จะเหมาะกับวัยรุ่น ไปถึงผู้ใหญ่ หรือพวกคู่รักมาเที่ยว มาถ่ายรูปกันไรงี้