เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 4
มาแล้ว เย่ๆ เช้าวันที่ 4 ในโตเกียวแล้วค่ะ ตามกำหนดการ จะต้องมีสักวัน ที่พวกเราจะเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นกันให้มากกว่าเดิมด้วยการ ซื้อของใน
ร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่น มานั่งแกะชิมกัน
Family Mart ก็เลยตกเป็นเหยือให้พวกเรา ให้เลือกซื้อหยิบอาหารกันมาอย่างบ้าคลั่ง อย่างที่เห็นนี่ล่ะ ^o^ หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า
คอนบินี่ หรือ
Konbini กันอยู่่ หรือบางคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ คือ
Konbini เป็นคำในภาษาญี่ปุ่นค่ะ ซึ่งเป็นคำย่อของคำว่า
Konbiniensu Sutoa แปลว่า
Convenience Store หรือร้านสะดวกซื้อนั่นเองค่ะ
(Cr.
http://viratts.wordpress.com/2013/02/01/konbini/)
คอนบินี่ หลักๆ ของญี่ปุ่น ก็จะมี 7/11 Lawson และ Family Mart จริงๆ พวกเราได้เข้าไปเดินแว๊บๆ ใน Lawson ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเลย ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า เข้าไปทำไม แต่สิ่งที่ได้ออกมา นอกจากของกิน ก็คือ ถุงมือกันหนาวค่ะ ซึ่ง ไดเร็คเตอร์บอกว่า อุ่นมากๆ ช่วยได้เยอะเลย ไม่งั้นคงไม่สามารถจะตั้งมือถ่ายวีดีโอได้ตลอดทริปแน่ๆ ค่ะ และความรู้สึกแรก ของการเดินในคอนบินี่ คือ ประทับใจมากๆ ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ของเยอะมว๊ากกกกก ขนมเยอะ มีทุกอย่าง ลูกหลานต้องกริ๊ดสลบ ว่าอยากจะเหมาขนมมาให้หมดชั้นกันเลยทีเดียว
พร่ำไปพอสมควร ^^'' มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าค่ะ จากรูป จะเห็นว่า พวกเราเน้นข้าวปั้นกันอย่างมาก อยากชิมค่ะ ว่ารสชาติของญี่ปุ่นแท้ๆ เป็นยังไง มารีวิวกันที่ละอันนะ แต่พูดถึงนะ เราก็ไม่ค่อยเห็นคนญี่ปุ่น จะซื้ัอข้าวปั้นเลยนะ หรือเพราะว่า มื้อเช้า เค้าไม่ทานข้าวปั้นก็ไม่รู้ แต่เราอยากลองอ่ะ ไม่สนละว่ามื้อไหน อิอิ
เบอร์ 1
เป็นข้าวปั้นห่อสาหร่ายไส้ทูน่า กัดคำแรก ได้ไปแต่ข้าวกับสาหร่าย รู้สึกโอเคตรงที่ สาหร่ายไม่เหนียว อาจจะด้วยวิธีการแพ็คกิ้งที่รักษาความกรอบของสาหร่ายไว้ได้ค่ะ กัดเข้าไปคำที่สอง ได้ทูน่ามาน้อยนุง -..- เอาเป็นสรุปรวมๆ นะรสชาติออกจืด ไส้น้อยไปหน่อยค่ะ หรือว่ามันเป็นวัฒนธรรมไส้น้อยของข้าวปั้นก็ไม่รู้อ่ะค่ะ
เบอร์ 2
ข้าวปั้นห่อสาหร่ายอันอ้วน กลม เต่ง ที่มันอ้วนเพราะมันมีไข่ต้มทั้งฟองยัดไส้อยู่ในนี้อ่ะ แกะออกมาไข่เป็นสีออกน้ำตาลๆ เหมือนเอาไปต้มกับซอส แต่รสไม่ค่อยเค็มมาก ตามสไตล์ญี่ปุ่นที่ทำอาหารรสไม่จัด แต่ที่เด็ดคือมันเป็นไข่ยางมะตูมซะด้วย ส่วนตัวข้าวเห็นสีเข้มๆ เหมือนหุงกับซอสดำ นึกว่าจะออกเค็มๆ แต่ก็ยังจืดอยู่ดี สรุปว่าเฉยๆ กับข้าวปั้นอันนี้นะ 2 อันแล้วนะที่บ่นว่าจืด หรือเรายึดติดกับรสจัดสไตล์ไทยๆ มากเกินไป
เบอร์ 3
ก็ยังคงเป็นข้าวปั้นห่อสาหร่าย แต่อันนี้พิเศษ เบญชอบนะ รู้สึกว่ามันอร่อยเหมือนเรากำลังกินข้าวปั้นไส้มันปู แต่พอดี คุณ Konchai Klangkanasub มาเม้นในยูทูปไว้ว่า.. "ข้าวปั้นที่บอกคล้ายๆ มันปู มันเป็นไส้ปลาคอต (เมน-ไท-โกะ) ครับ" เลยได้ความรู้ไปในตัวด้วยเลย ขอบคุณมากนะคะ
เบอร์ 4
สุดท้ายคือ ข้าวปั้นไส้อะไรบางอย่างที่กัดแล้วไส้ยืดๆ เละๆ กลิ่นเหมือนอาหารบูด คุณ Konchai Klangkanasub (อีกครั้ง) มาเม้นในยูทูปไว้ว่า... "ส่วนที่บอกเน่า ๆ ยืด ๆ ได้ .. มันคือ "นัท-โตะ" ถั่วหมักญี่ปุ่น กินเพื่อสุขภาพครับ" ขอบคุณที่มาให้ความรู้นะคร๊า สำหรับนัทโตะนี่ขอลองทีเดียวก็พอแระ -..-“ แต่บางคนก็ชอบมากเลยนะ มีญาติที่เรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นก็พูดเลยว่า นัทโตะเนี่ย ต้องทุกวัน อย่างน้อยๆ 1 มื้อ ชั้นต้องได้กินนัทโตะ ก็คงแล้วแต่ความชอบเนอะ สำหรับเราอาจจะยังไม่ชิน ถ้าได้ทานไปเรื่อยๆ ก็อาจจะชอบขึ้นมาก็ได้ อย่างเบญเคยทานคุ๊กกี้ไส้ขิง ทานคำแรกนี่ ขัดความรู้สึกมาก หวานช็อคโกแล็ตอยู่ดีๆ ก็ได้กลิ่นขิงซะงั้น >< แต่พอทานไปเรื่อยๆ มันก็อร่อยแฮะ ไปซื้อซ้ำอีกต่างหาก อิอิ
ส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมทั้ง 2 อัน ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมายนัก
แอบมีความค้างคาใจเล็กๆ คิดว่า คนญี่ปุ่นเค้าออกจะใส่ใจรายละเอียด ดังนั้น วัฒนธรรมของเค้า มันต้องมีเหตุผลสิน่า ก็เลยกลับมาลองค้นข้อมูลเรื่องของข้าวปั้นดูค่ะ (Cr.
http://th.wikipedia.org/wiki/โอะนิงิริ)
โอะนิงิริ คือ ข้าวปั้นของญี่ปุ่น ที่มีลักษณะสามเหลี่ยม หรือวงรี โดยห่อด้วยสาหร่าย (โนะริ) ซึ่งเมื่อก่อน ก็จะเป็นข้าวปั้นไส้บ๊วยเค็ม ปลาเค็ม หรืออะไรก็ได้ที่มีรสเค็ม
โอะนิงิริในสมัยก่อน มีลักษณะปั้นเป็นก้อนกลม เพื่อง่ายในการถือ และไปกินนอกสถานที่
ยุคก่อนซามูไร สามารถพกพาไปกินได้สะดวกในสนามรบ ต่อมา
ยุคเฮอัน ได้มีการห่อข้าวปั้นในลักษณะเป็นเหลี่ยมขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการวางซ้อนกัน
จากยุคคะมะคุระจนถึงยุคเอโดะ โอะนิงิริยังไม่มีการห่อด้วยสาหร่าย ปรุงรสด้วยเกลือเป็นหลัก จนกระทั่ง
ยุคเมจิ เริ่มมีการใช้สาหร่ายในอาหารต่างๆ
แต่ด้วยความที่ต้องการให้สาหร่ายกรอบ เค้าเลยไม่ได้ห่อรวมไปกับข้าวด้วย เพราะถ้าสาหร่ายโดนความชื้นจากข้าวมันก็จะหายกรอบและเหนียว เค้าเลยห่อแยกตัวข้าวกับสาหร่ายออกจากกัน แต่ก็ไม่วายคิดเผื่อให้ว่าจะแกะยังไงให้ง่าย แกะออกมาปุ๊บสาหร่ายก็ห่อข้าวเรียบร้อยสวยงาม ดังนั้น บนห่อข้าวปั้น เค้าก็จะมีวิธีการแกะให้เราด้วย ให้ดึงตามเบอร์ที่เค้าบอกอ่ะ (นาทีที่ 1.21.40)
เริ่มจาก ดึงที่เบอร์ 1 เป็นการลอกพลาสติกเข้าหาตัวเรา
ต่อมาเบอร์ 2 ดึงห่อพลาสติกไปทางขวา
และสุดท้ายคือเบอร์ 3 ดึงห่อพลาสติกไปทางซ้าย ช่วงนี้จะเป็นไคลแมกซ์แล้วนะ สาหร่ายจะห่อหรือไม่ห่อก็อยู่ที่ช่วงนี้แหละ ตอนแรกเรายังเก้ๆกังๆ สาหร่ายมันก็จะไม่ค่อยจะเกาะข้าวเท่าไหร่ แต่พอลองทำอีกอันก็ดีขึ้น
ชอบไอเดียคนญี่ปุ่นจริงๆ ที่คิดถึงกระทั่งวิธีการแกะห่อข้าวปั้นเพื่อให้คนได้กินข้าวปั้นโดยสาหร่ายยังกรอบอยู่ เป็นเรื่องเป็นราวมาก กะแค่ข้าวปั้นห่อสาหร่าย 555 แต่คิดว่า ยังมีอีกหลายคนที่อาจจะงงเหมือนเรา หวังว่าจะทำให้หลายๆ คนหายสงสัยไปได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละเนอะ ^^
ต่อมา มาดูพวกข้าวกล่องบ้าง สังเกตจากภาพ เมนูหน้าตาแบบนี้ มันต้องอุ่นก่อนทาน เพราะตอนที่อยู่ในชั้นมันเป็นชั้นแช่เย็น เวลาจะทานต้องอุ่นด้วยไมโครเวฟ ไดเร็คเตอร์ของเรา ก็จัดการนำไปบอกกับพนักงานว่า "ช่วยอุ่นให้หน่อยครับ" ด้วยภาษาอังกฤษ "เวฟโตะ พลีส" เพราะเห็นว่าภาษาอังกฤษของคนญี่ปุ่นมันจะเติมโตะๆ โดะๆ เข้าไปด้วย ก็กลัวคนญี่ปุ่นจะไม่เข้าใจ ก็เลยเติมโตะเข้าไป เป็นไปตามความคาดหมาย ญี่ปุ่นอึ้งไป 3 วินาที งงกว่าเดิม ถึงกับร้อง "เห??!!##" สรุปสุดท้าย ก็ชี้ไปที่ไมโครเวฟ เค้าก็เข้าใจทันที -..- ยังไงภาษามือก็ยังใช้สื่อสารได้ทั่วโลกอยู่ดี
สำหรับเมนูข้าวกล่อง
เบญว่าหน้าตามันเหมือนคั่วกลิ้งที่เป็นอาหารทางภาคใต้มากๆ แต่จริงๆ
แล้วมันคือ หมูผัดกับซอสรสออกหวานๆ หน่อย มีขิงดอง
และผักดองใส่มาแก้เลี่ยนด้วย และที่เห็นสีเหลืองๆ ก็คือไข่ ทำแบบนิ่มๆ
คล้ายๆ ไข่หวานญี่ปุ่น แต่จะออกจืดๆ หน่อย และข้างล่างเป็นข้าวญี่ปุ่น
อาหารกล่องอันนี้เบญชอบมากเลย รสมันอร่อยลงตัวดี
กินเข้าไปทั้งถาดก็อิ่มยันเที่ยงพอดี
(ซึ่งมันน่าจะเป็นอาหารเที่ยงมากกว่าอ่ะค่ะ) และถ้าใครดูวีดีโอแล้ว
คงจะเห็นว่า เราก็ไปหยิบกระบอกสีแดงๆ ที่มันเขียนว่า "Spice Kitchen"
มาชิมด้วย เพราะดูจากหน้าตาแล้ว ดูน่าจะแซ่บนะ แล้วมันก็แซ่บจริงๆ
สมกับเป็นอาหารไทยสุดๆ >< ใช่แล้วค่ะ มันคือ เส้นเล็กต้มยำ
ที่มีส่วนประกอบเป็น กุ้งแห้ง หอมซอย พลาดซะแล้ว
สลัด! ซื้อสลัดมาด้วยค่ะ ชีวิตต้องการผักบ้าง เพื่อสุขภาพการขับถ่าย (ของผู้สูงอายุอย่างแม่ ^^)
แฮมนี้แม่ซื้อมากินกับสลัด ดูๆ ก็คล้ายเบคอนนะเนี่ย แอบเห็นตัวเลข แคลอรี่ที่ซอง คนญี่ปุ่นนี่ก็ให้ความสำคัญกับแคลอรี่นะเนี่ย
อีกอย่างที่เราไม่เคยพลาดเวลาไปเที่ยวต่างประเทศคือ ต้องซื้อน้ำหวาน น้ำชา กาแฟบ้านเค้า มาลองชิมดูค่ะ อยากรู้ว่ามันต่างกันไง สำหรับที่ญี่ปุ่นเครื่องดื่มส่วนใหญ่ของเค้าจะไม่หวานเหมือนบ้านเรา (เรารู้สึกว่าคนไทยติดหวาน รวมถึงเราด้วยอ่ะ อิอิ)
ของที่ซื้อมาลองก็มีชาอาซาฮี (ขวดขาว) ออกขมๆ หอมๆ เอาไว้กินแก้ฝืดคอเวลาทานข้าวปั้น กาแฟจอร์เจีย เป็นแบรนด์กาแฟที่มีมานานม๊ากกกก ยี่ห้อนี้พี่เก้ากินมาตั้งแต่เด็ก (กินกาแฟตั้งแต่เด็กเลยร๊อออ!??) จริงๆแล้วมีหลายรสนะ แต่ที่ซื้อมาลองคือ กระป๋องทอง กับกระป๋องน้ำเงิน ชิมไปแล้วรู้สึกว่ากระป๋องทองจะผสมนมน้อยกว่ากระป๋องน้ำเงิน รสมันก็ไม่ได้หวานมาก และก็มีกลิ่นหอมๆ ของกาแฟ จริงๆ คนชอบทานกาแฟ ก็แนะนำกระป๋องน้ำเงิน พี่เก้าซื้อกลับมากินต่อที่กรุงเทพด้วยนะ ก็ของเค้าอร่อยจริงๆ อ่ะ ^o^
ก็ประมาณนี้ของกินในคอนบินิญี่ปุ่นของพวกเรา จริงๆ แล้วในวันหลังๆ เราก็ซื้อขนม โยเกิร์ตเครื่องดื่มอะไรทานกันอีกเยอะแยะค่ะ น่าจะมีรูปถ่ายเอาไว้วันหลังๆ รู้สึกสนุกมากเลยค่ะ ถึงมันจะไม่ได้อร่อย ถูกปากไปซะหมดทุกอย่าง แต่ความสนุกอยู่ที่การได้ลองลิ้มรส รับรู้ในสิ่งที่คนท้องถิ่นเค้าเป็นกัน รับรู้ความแตกต่างในวิถีชีวิตของคนอีกประเทศนึง นี่แหละมันคือเสน่ห์ของการมาเที่ยวค่ะ
สำหรับ Plan ในวันที่ 4 นี้ เราจะไปเริ่มเที่ยวที่เอบิซุ (Ebisu) ที่หาข้อมูลมา จุดเด่นของที่นี่คือเป็นลักษณะ Garden Place คือ เป็นบรรยากาศโรแมนติกแบบฝรั่งเศส และมี Beer Museum ด้วยค่ะ
พอบอกว่ามี Beer Museum ทุกๆ คนก็ดูจะตาเป็นประกายวิบวับเพราะอยากลองชิมเบียร์ญี่ปุ่น แหม... แต่ละคนก็คอแอลกอฮอล์กันทั้งนั้น -..-
จากนั้นก็จะไป จิยูกาโอกะ Jiyugaoka ซึ่งเป็นเมืองที่มีร้านขนม ร้านกาแฟแต่งน่ารักๆ และมีพวกร้านขายของกระจุ๊กกระจิ๊ก ของ Handmade ที่ทำจากผ้าญี่ปุ่น เป็นบรรยากาศน่ารัก น่าเดิน ทำให้พี่เก้าและแม่อยากไปเที่ยวที่นี่ม๊ากกกกกก ประมาณว่าถ้ามีการเปลี่ยนตารางจากนี้ มีเคือง -..- เมื่อเล็งเห็นสายตาของแม่และพี่เก้า งั้นพวกเราต้อง Stick to the plan นะจ๊ะ งั้นเรารีบออกตัวกันเลย ให้ไว!!
วันนี้ เราก็ใช้รถไฟฟ้า MRT ในการเดินทางเหมือนเดิม แต่เท่าที่ผ่านมา มันก็มีหลายครั้งที่เราก็เลือกผิด กดราคาตั๋ว MRT มีบ้างที่มันแอบเกิดอาการ จะทำไงดี๊ แอร๊ยยยยยยย หนูจะติดอยู่ในสถานีรถไฟใต้ดินหรือเปล่าคะ?? แล้วพูดญี่ปุ่นก็ไม่ได้ แว๊กกกก อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ มันมีวิธีแก้ไขนะ
ใจเย็นๆ อย่าตกใจจนสิ้นสติ !!
สมมุติว่า เรากดราคาตั๋วผิดมาตั้งแต่แรกใช่มะ มาถึงสถานีปลายทาง มารู้ตัวตอนจะติ๊ดตั๋วออก แต่มันไม่ให้ผ่าน เราก็จะรู้สึกว่า ความซวยบังเกิด ให้ทำอะไร ให้มอง ป้ายที่เขียนว่า Fare Adjustment หน้าตาแบบนี้
เราตามป้ายไป ก็จะเจอเครื่องคล้ายๆ เครื่องซื้อตั๋วรถไฟฟ้า เราก็เอาตั๋วรถไฟของเราใส่เข้าไปที่ช่องทางซ้ายมือตามภาพ ตั๋วจะถูกดูดเข้าไปในเครื่อง
จะขึ้นหน้าจอแบบนี้ ก็งงนะ ทำไมมันไม่เป็นภาษาอังกฤษ เอาเป็นว่า ต้องจ่ายเพิ่มอีก 30 เยนค่ะ
เราก็จัดการหยอดเงินตามจำนวนที่เครื่องบอก ลงในช่องหยอดเงินแบบนี้
เครื่องก็จะคายตั๋วใหม่ออกมาให้ โดยที่เป็นตั๋วที่เพิ่มจำนวนเงินเรียบร้อย
ตั๋วที่ออกมาจะมีเลข 30 เยน และยังไม่ได้ถูกเจาะรู ตอนจะออก เราก็เอาตั๋วเนี้ยสอดเข้าเครื่องตรงทางออก ก็เรียบร้อย ขวัญเอ๊ยขวัญมาน๊าาาา
ออกเดินทางต่อไปเอบิซุกันเลย
เห็นป้ายโฆษณาเบียร์ Sapporo ด้วย เดี๋ยวเราก็จะไปถึงแหล่งกำเนิดผู้ผลิตเบียร์ Sapporo ยี่ห้อนี้แล้ว ก็คือที่เอบิซุน่ะเอง
การเดินทางไปเอบิซุ เราจะใช้ Tokyo Metro Line สาย Hibiya สีเทา
นั่งจาก H14 ไปลง H2 ที่สถานี Ebisu รู้วิธีใช้รถไฟฟ้ากันแล้ว ไม่พูดละเนอะ
มาถึงแล้ววว ขึ้นไปข้างบนกันเลย ก่อนขึ้นแวะถ่ายรูปหมู่กันหน่อย
พอขึ้นมา มันจะเจอสถานี JR ด้วย
ดังนั้นถ้าใครจะใช้ JR ยามาโนเตะ ก็ได้เหมือนกัน ให้มาลงที่สถานี JR Ebisu Station
เราก็เดินออกจากสถานี Ebisu แล้วเลี้ยวขวา เดินไปตามทางเดินเลื่อน Sky walk ประมาณ 10 นาที
เราก็จะมาโผล่ตรงทางออก หน้าตาเป็นแบบนี้
พอมองไปฝั่งตรงข้าม เราก็จะเห็นตึกอิฐสีแดง ซึ่งมันคือ Sapporo Beer Station แสดงว่าเรามาถึง Yebisu Garden Place แล้วจ้า
แผนที่ Yebisu Garden Place
พิกัด : 35.642141, 139.713455
ข้ามถนนเข้าไปกันดีกว่า ลองไปเดินเที่ยวรอบๆ Garden Place กันนะ
ด้านหน้าจะมีป้ายบอกว่าที่นี่มีร้านอะไรอยู่บ้าง เหมือนกับ Avenue บ้านเราเลยเนอะ
เขียนมาถึงตรงนี้ อาจจะงงๆ เอะบิซุ ทำไมมันเขียนไม่เหมือนกัน มีทั้ง Ebisu และ Yebisu จริงๆ แล้วมันก็อ่านเหมือนกันนะคะ คือ เอะบิสุ ไม่ต้องออกเสียงตัว Y นะ คำว่า Yebisu เป็นการสะกดแบบโบราณค่ะ แต่เท่าที่เราสังเกตเอง ถ้าเป็นป้ายชื่อย่าน หรือ ป้ายสถานีรถไฟ มันจะเขียนว่า Ebisu แต่ถ้าอย่างที่นี่ เป็น Garden Place มันคือ ชื่อสถานที่ เค้าก็จะใช้ Yebisu
เราเลือกมาที่ย่านนี้ เพราะอะไร ?? โอเค นอกจากที่พวกเราชื่นชอบการดื่มเบียร์ ถึงแม้จะดื่มได้ไม่เยอะก็ตามทีแล้ว ย่านนี้ เป็นสถานที่ๆ มีร้านอาหาร ผับ บาร์ หลากหลายร้าน พิพิธภัณฑ์เบียร์ และยังมีตึกสวยๆ สไตล์ยุโรปด้วย รู้สึกว่า เราต้องถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน และจะได้ไปเลือกร้านอาหารอร่อยๆ ซักร้านนึงฝากท้องมื้อกลางวันกัน และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะลองชิมเบียร์ Yebisu ดูซักที
จริงๆ แล้วย่านนี้ ดูตอนนี้ทันสมัยมากๆ แต่จริงๆ แล้วเค้ามีประวัติความาเป็นมายาวนานแล้วเหมือนกันค่ะ
ย่านเอะบิซุ เป็นย่านที่เกิดมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2471 เป็นชุมชนที่พัฒนาขึ้นรอบๆ ตึกของ บริษัท Japan Beer Brewery Company (ปัจจุบันชื่อ Sapporo Breweries Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตเบียร์ชื่อดัง อย่างเบียร์ Sapporo)
แต่เมื่อก่อน Japan Beer เค้าผลิตแต่เบียร์ Yebisu ซึ่งได้รับความนิยมมากจากคนท้องถิ่นในสมัยนั้น
ต่อมา การรถไฟญี่ปุ่นก็ขยายพื้นที่ให้บริการ มาถึงหน้าโรงงานสำหรับขนส่งเบียร์ สถานีนี้ ก็เลยชื่อว่า Yeibisu และย่านนี้ ก็เลยถูกเรียกว่า เอะบิซุ ตามชื่อสถานีรถไฟไปเลย
ตั้งแต่นั้นมา บริษัท Japan Beer ก็เปลี่ยนระบบองค์กร และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Sapporo Breweries Ltd. และผลิตเบียร์มาหลายแบรนด์ดังๆ ทั้ง Yebisu Beer, Sapporo Beer
แต่เดิม Yebisu Garden Place ใช้เป็นโรงกลั่นเบียร์ แต่พอปี 2531 โรงกลั่นเบียร์ถูกย้ายออกไปตั้งที่จังหวัดจิบะ ที่นี่เลยถูกพัฒนาใหม่ให้กลายเป็น Yebisu Garden Place และเปิดให้คนทั่วไปมาใช้บริการกันใน พ.ศ. 2537
ย่านเอะบิซุ ที่อยู่ใกล้ๆ กับชิบุยะ และรปปงงิ จึงถือว่าเป็น 1 ในย่านที่เจริญฝุดๆ ในโตเกียว
ที่นี่ก็เลยเป็นแหล่งรวมของร้านอาหาร ผับ สถานที่เที่ยวเพียบ แถมยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Sapporo Breweries และพิพิธภัณฑ์เบียร์เอะบิซุ อีกด้วย
(Cr.
http://th.wikipedia.org/wiki/เอะบิซุ)
ที่นี้จะเม้าธ์ต่ออีกว่า ชื่อเอะบิซุอ่ะ มันมีที่มายังไง ทำไมถึงชื่อนี้ บางคนอาจจะรู้มาแล้วว่า เป็นชื่อของเทพเอบิซุ (เราเข้าใจว่า เอะบิซุ กับ เอบิซุก็เหมือนกันนะ เขียนยังไงก็ได้)
ชื่อเอบิซุ เป็นชื่อของเทพนะ เทพเอบิซุ เป็น 1 ใน 7 เทพเจ้าแห่งโชคลาภของญี่ปุ่น อารมณ์คล้ายๆ โป๊ยเซียน เทพเจ้าทั้ง 8 ของจีนนั่นแหละ เทพทั้ง 7 มีใครบ้าง เอบิซุ, ไดโกกุ, บิซามอน, เบ็นไซเท็น, ฟุกุโรกุยู, โฮเท, จูโรยิน เราจะไม่กล่าวถึงทั้งหมดแล้วกันเนอะ
คนญี่ปุ่นเชื่อว่า เทพทั้ง 7 จะล่องมากับเรือขุมทรัพย์ เพื่อนำความสุขมาฝากทุกคน
เทพเอบิซุ (Ebisu, ???) ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล การประมง การค้า ลักษณะของท่านจะถือคันเบ็ดตกปลาที่มือขวา และมีปลาในมือซ้าย
ญี่ปุ่นมีเทพเจ้าของตนเองเพียงท่านเดียว คือ ท่านเอบิซุ ถือว่าเป็นเทพองค์เดียวที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น ส่วนที่เหลืออีกหกนั้นไปยืมมาจากอินเดียสามท่าน จากประเทศจีนอีกสามท่าน
เราก็เลยสรุปเอาเองเออเองว่า คงเพราะเป็นเทพที่เป็นต้นกำเนิดของญี่ปุ่น ก็เลยเอาชื่อมาใช้เลยเพื่อความเป็นมงคล
มาเดินดูบรรยากาศที่ Yebisu Garden Place กันดีกว่า ที่นี่เค้าจะประดับไฟไว้ตามต้นไม้ริมทางเดินด้วย คิดว่าถ้ามาตอนกลางคืนคงจะสวยน่าดู
ระหว่างทางเดิน พื้นก็จะสะอาดม๊ากกกกก ไม่มีขยะสักชิ้น ตามสไตล์ญี่ปุ่น
พวกตัวตึกที่ที่นี่ จะทำสไตล์ยุโรปกันหมด ทำให้บรรยากาศมันดูโรแมนติก ยิ่งอากาศหนาวๆแบบนี้ นึกว่าอยู่ยุโรป (มีเสียงเล็กๆตะโกนถามว่า เคยไปยุโรปด้วยเร้อะ -_-“)
ที่ Yebisu Garden Place ก็เลยเหมือนเป็นที่ๆ คนญี่ปุ่นมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจกันไปในตัว
เพราะรอบๆ บริเวณนี้ก็มีจัดสวนสวยๆ แบบสวนในบ้านแบบยุโรปยังไงหยั่งงั้น
แม้แต่เด็กน้อยก็ลงจากรถเข็นมาเดินเล่นด้วยตัวเอง -_-'
ดอกไม้เค้าสวยๆ ทั้งนั้นเลย แต่ช่วงที่ไปถ่ายรูปมันประมาณ 10 – 11 โมง ก็เลยได้ภาพแดดแผดเผาร้อนระอุอย่างที่เห็น แต่จริงๆแล้วอากาศหนาวมากเลยนะ
ตอนแรกก็ตั้งใจว่าอยากจะเข้าไปเยี่ยมชมประวัติฟองเบียร์ ในพิพิธภัณฑ์เบียร์เอะบิซุซะหน่อย และจากนั้นก็จะแว่บไปชิมเนื้อย่าง และจิบเบียร์กันชิวๆ..
แต่แล้วก็ดั๊นนนเกิดเหตุการณ์ Bad Luck ขึ้น พี่เก้ากับพี่ฉิม Director ของเรามีงานด่วนเข้ามากะทันหัน ทำให้ต้องนั่งทำอยู่หลาย ชม. นั่งทำงานในขณะมาเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ยนะ แอร๊ยยยยยย สุดท้ายเราเลยไม่ได้ขยับตัวไปไหนจนถึงเที่ยง
ระหว่างนั่งรอ ก็เริ่มหิว เลยไปตู้กดน้ำหวาน ซื้อน้ำองุ่นมาให้ไดเรคเตอร์เพราะแกชอบองุ่นเป็นชีวิตจิตใจ แต่อันนี้เป็นน้ำองุ่นขาว รสชาติก็หวานๆ หอมๆ องุ่นนะ แต่ถ้าให้เลือกเบญว่าน้ำองุ่นขาวทิปโก้บ้านเราอร่อยกว่านะ
ส่วนอันนี้เป็นน้ำบ๊วย อันนี้ก็อร่อย เปรี้ยวๆหวานๆหอมบ๊วย เอาไปให้ชิมกันคนละอึก ชอบกันใหญ่ เพราะตอนนี้ทุกคนหิวอาหารแบ๊วววว
หลังจากพี่เก้าและ Director ของเราแก้ปัญหางานได้เรียบร้อย ก็ถึงเวลากิน! เราก็เลือกที่ๆ ดูน่ากินและใกล้เราที่สุด ก็คือที่ Sapporo Beer Station น่ะเอง
ตัวร้านข้างนอก จะเห็นเป็นตึกอิฐแดง คล้ายๆ โรงเบียร์ย้อนยุค
ร้านนี้หาไม่ยากเลย พอออกมาจาก sky walk ก็จะเห็นร้านนี้ตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี๊ ร้านเปิดตั้งแต่ 11.30 – 14.00 นะจ้ะ มีเมนูให้เลือกตั้งแต่หน้าร้านเลย
เข้าไปข้างในกันดีกว่า ข้างในอุ่นสบายหายหนาวเป็นปลิดทิ้ง ร้านจะมี 2 โซน โซนด้านในจะมืดๆ หน่อย และก็มีอีกโซนที่รอบๆ ร้านเป็นกระจกดูโล่งโปร่งสบาย บรรยากาศจะคล้ายๆ Lobby โรงแรมเลย
พวกเราเลยเลือกมานั่งโซนนี้ตรงมุมๆ ร้านหน่อย เพราะกลุ่มเราของเยอะ วางกระเป๋าเสร็จเค้าก็ยกที่แขวนเสื้อกันหนาวมาให้สำหรับเราเลย บริการดีจริงๆ
โต๊ะที่เค้าจัด เราสังเกตได้เลยว่ามันจะจัดห่างๆ กันมาก ทำให้นั่งแล้วไม่อึดอัด
เอาหล่ะ ตอนนี้กระเพาะเรียกร้องอาหารกันใหญ่แล้ว มาเลือกอาหารกันดีกว่า ตอนนี้ที่เค้ามีให้เลือกทานแบบง่ายๆก็เป็นแบบ Lunch Menu มีตามนี้เลย เราเลยสั่งมากันคนละอย่างให้ไม่ซ้ำกันจะได้มาลองทานหลายๆแบบ
เหลือบไปเห็นป้ายเบียร์ ที่ Sapporo Beer Station จะขายเบียร์ Sapporo และ Yebisu Beer ก็แหงหล่ะ ที่นี่มันเป็นต้นกำเนิดของ Yebisu Beer เลยนี่หน่า
จากที่อ่านมา เบียร์ Yebisu จะติดอันดับ 1 ใน 10 เบียร์ญี่ปุ่นยอดนิยมด้วย เพราะเป็นเบียร์ที่เก่าแก่มาก เกิดมาตั้งแต่สมัยปี 1887 ถ้าเทียบกับไทยก็สมัยช่วง ร.5 ตอนนี้ก็ผ่านมา 120 กว่าปีแล้ว และเป็นเบียร์ที่มีรสชาติความขมเฉพาะของตัวเอง เค้าว่ากันว่ากินแล้วจะเมาเร็วเพราะเบียร์มันแรง
สรุปว่าเราก็เลยไม่ได้สั่ง เพราะเดี๋ยวต้องไปถ่ายรูปต่อจนถึงเย็น ถ้าเมาตอนนี้ประเมินสภาพแล้วว่าคงจะถ่ายต่อไม่ไหวแน่ๆ ไว้ทริปหน้าจะไม่พลาดชิมแน่นอน คงต้องย้ายการชิมเบียร์เป็นมื้อเย็นแทน ชิมเสร็จจะได้ไปนอนเลย
จานแรกที่ยกมาเสิร์ฟคือ Hamburg Steak European Style - 980 เยน ฮัมเบิร์กสไตล์ยูโรเปี้ยน มีไข่ มีชีส กุ้ง และไส้กรอก เสิร์ฟมาพร้อมกันขนมปัง 2 ก้อน ตัวเนื้อหอมมาก หอมแบบแฮมเบอเกอร์เลย เนื้อนุ่ม มีรสชาติ ไม่เค็มเว่อร์ ไม่ต้องเติมเกลือเพิ่ม กลมกล่อมกำลังดี หอมเหมือนรมควัน มีกลิ่นอายความเป็นแฮมเบอเกอร์อยู่ ใครเบื่อๆ อาหารญี่ปุ่น และชอบอาหารฝรั่ง แนะนำเมนูนี้เลยค่ะ
เมนูต่อมา Hamburg Steak Japanese Style - 980 เยน เป็นฮัมเบิร์กสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งต่างจากเมนูตะกี้ตรงที่เปลี่ยนผักเป็นแนวญี่ปุ่น ที่จะมีกระหล่ำปลี ถั่วงอก แครอท และราดด้วยหัวไชเท้าซอย ราดซอส พร้อมด้วยไข่ดาวไข่แดงไม่สุก ตัวเนื้อคล้ายๆ กะเมนูแฮมเบิร์กสไตล์ยุโปร แต่ติดนิดนึงที่มันมันไปหน่อย ถ้าอยากตัดเลี่ยนหน่อยก็เอาเกลือใส่ได้
ถัดมาคือ Steak Pilaf with Soup - 950 เยน สเต็กเนื้อที่วางบนข้าว และเสิร์ฟพร้อมซุป ซอสที่ราดมาออกรสหวาน โรยหน้าด้วยพริกไทยดำ+ต้นหอม เนื้อไม่เหนียวเลย ทานง่าย ใช้ช้อนตัดเนื้อยังได้เลย ฟิลเหมือนเนื้อย่างซีอิ้วทานกับข้าวมัน
เมนูสุดท้ายแล้ว Omlet with Chicken Rice - 850 เยน หน้าตาดูเผินๆ อย่างกะข้าวแกงกะหรี่ แต่ไม่ใช่นะ รสชาติรวมๆ มันออกคล้ายข้าวผัดอเมริกัน น้ำสีแดงๆ คือซอสมะเขือเทศ รอบๆ คือน้ำเกรวี่เห็ดหอม ไข่ที่ครอบข้าวก็นุ่มๆ ข้าวข้างในจะเป็นข้าวผัดซอสมะเขือเทศกับไก่ ไก่เนื้อนุ่มมาก รสจะออกจืดๆ หน่อยเพราะเค้าไปเน้นความเค็มที่น้ำเกรวี่ พอทานรวมๆ กันจะได้รสชาติเหมือนข้าวผัดห่อไข่ราดน้ำเกรวี่ รสชาติกลมกล่อม แต่ถ้าใครที่ชอบทานเค็มหน่อยก็เหยาะเกลือเพิ่มได้
สรุปแล้ว มื้อนี้ประทับใจกันทุกคน เพราะได้เปลี่ยนบรรยากาศจากอาหารญี่ปุ่นบ้างไรบ้าง สำหรับพี่เก้าชอบเมนู Hamburg Steak Japanese Style ที่สุดรองมาก็ Steak Pilaf ที่เป็นข้าวมันเนื้อย่าง อันดับสุดท้าย ก็คือ ข้าวผัดห่อไข่กับแฮมเบิร์กสเต๊กสไตล์ยูโรเปี้ยน
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อได้เลยจร้า ระหว่างทางเดินผ่านร้าน Starbuck ไดเร็คเตอร์ก็ขอแวะเข้าไปซื้อของที่ระลึกซะหน่อย ก็คือแก้วสตาร์บัคลายซากุระสีชมพู เก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าได้มา Starbuck ที่ญี่ปุ่นแระนะจ้ะ ปัจจุบันแก้วนี้เบญก็จะเอาไว้ใช้ชงกาแฟกินทุกเช้าเลย เพราะมันเก็บความร้อนได้ดีมาก 555
แพลนช่วงบ่ายของเรา คือไปที่จิยูกาโอกะ (Jiyugaoka) ตามที่อ่านมา เค้าบอกว่าเป็นเมืองน่ารักๆ เมืองนึงในโตเกียว อยู่ไม่ห่างจากชิบูย่า
วิธีการเดินทาง เราก็ใช้สาย Hibiya Line สายสีเทา เริ่มเดินทางต่อจากสถานี Ebisu (H02) วิ่งมาจนสุดสายที่ Naka-meguro (H01)
แผนที่ Jiyugaoka Station
MAP :
https://goo.gl/maps/g7DdJNJSMWz
พอมาถึง H01 แล้วก็ออกจากรถไฟแล้วไปขึ้นอีกฝั่งนึง ซึ่งเป็นการต่อสายรถไฟ Tokyu Toyoko Line เริ่มตั้งต้นจากสถานี Naka-meguro แล้วมาลงที่สถานี Jiyugaoka พอตอนออกจากสถานี เราก็จ่ายคนละ 150 เยน ให้ดูตามภาพล่างนี้ เส้นสีเทาคือ Hibiya Line เส้นสีแดงคือ Tokyo Toyoko Line
จากที่หาข้อมูลมาในจิยูกาโอกะ จะมีร้านขายเครื่องเขียน ของแต่งบ้าน และเครื่องประดับน่ารักๆเยอะมาก ถ้าเป็นคนที่ชอบของน่ารัก กระจุ๊กกระจิ๊ก เวลา 1 วันเต็มๆ ในเมืองจิยูกาโอกะอาจจะยังน้อยไป
แต่ว่าเรามีเวลาแค่ 2 ชม. เท่านั้นในจิยูกาโอกะ ก่อนจะไปเก็บทไวไลท์ที่โมริทาวเวอร์ แอร๊ยยยยยย จะได้ดูอะไรบ้างมั้ยเนี่ยยยยย
เอาฟ่ะ มีเวลาแค่นี้ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่ะ เราใช้เวลาประมาณ 10 นาที เราก็มาลงที่สถานีจิยูกาโอกะเรียบร้อย
ออกมาปุ๊บก็เจอเจ้าหมาขนฟูก่อนเลย เข้าใจว่าคงเหมือนรับบริจาคเงินเพื่อสงเคราะห์สัตว์ มันนอนอยู่หน้าสถานีรถไฟเลย
พอเราเดินออกมาจากสถานี เราก็ข้ามถนนไปเดินอีกฝั่งนึงที่เป็นร้านติดกันเยอะๆ เราเองก็ไม่ได้มีแผนว่าจะเดินไปร้านอะไรเป็นพิเศษ ก็ลองเดินๆไปเรื่อยๆ ไป discovery เองว่าเราจะเจออะไร
จิยูกาโอกะ (Jiyugaoka) เป็นย่านที่พักอาศัยที่อยู่นอกเขตใจกลางเมืองโตเกียว
ที่นี่ ไม่ต้องคาดหวังว่าจะเจอห้างใหญ่ๆ หรือพวกห้างรวมอุปกรณ์ไฮเทคนะจ้ะ เพราะเค้าจะเป็นย่านที่สงบ ร่มรื่น ผู้คนก็เดินกันเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่รีบร้อน
ร้านส่วนใหญ่ที่นี่ก็จะเป็นร้านเล็กๆ แต่ตกแต่งเก๋ๆ น่ารักๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกร้านขายขนมหวาน ร้านกาแฟ และก็ร้านขายของกระจุกกระจิกเรียงตัวกันอยู่ตามซอยเล็ก ซอยน้อย
โดยร้านพวกนี้ก็พร้อมใจกันตกแต่งให้ดูน่ารัก เก๋ๆ มีสไตล์
ทำให้บรรยากาศในเมืองนี้น่าเดินเที่ยวเล่น ประมาณว่าเดินดูของ ดูบรรยากาศไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน จะมีร้านเรียงติดๆ กันทั้งถนน ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา
จะมีซอยเล็กซอยน้อยให้เดินสบายๆ สำหรับคนที่ชอบเดินช้อปปิ้งของกระจุกกระจิกแบบนี้ เพลินจนลืมเวลากันเลยหล่ะ
ของที่เค้ามาวางขายก็จะมีแต่ของที่ดูแล้วมันมีดีไซน์ มีความน่ารักเก๋ไก๋
จะเป็นพวกของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเขียน
บางร้านก็ดูเป็นของใช้แบบแฮนด์เมด
แต่ทุกร้านส่วนใหญ่จะแต่งให้ดูน่ารัก น่าเข้าไปซะทุกร้านเลย มันสะท้อนให้เห็นตัวตนของคนญี่ปุ่นมากๆ ว่าเป็นคนแบบไหน เค้ามีความละเอียดละออ ใส่ใจ มีวินัย สมคำร่ำลือจริงๆ ค่ะ
เดินๆ มาเจอประตูกับหมาน้อย
อ้าวไม่ใช่.. อันนี้เป็นภาพวาดประตูตะหากหล่ะ แต่ไอเดียดีมากเลยนะ ทำให้ร้านดูเก๋ หวานขึ้นอีกเยอะเลย
ไม่ใช่มีแต่ร้านเก๋ๆ ร้านแบรนด์ก็มีนะ อันนี้ Anna Sui
ส่วนร้านนี้คือ Laura Ashley เดินเข้าไปดู แล้วก็เดินถอยหลังออกมา เพราะราคามันสูงปริ๊ด อันนี้เป็น Laura Ashley ที่ขายพวกเสื้อผ้า
ส่วนอันนี้เป็น Laura Ashley ที่ขายพวกของแต่งบ้าน จานชามลายน่ารักๆ โคมไฟ แจกันลายหวานๆ ดูวิจเทจๆ
จะสังเกตได้ว่า ถนนซอยพวกนี้ เป็นถนนคนเดินโดยเฉพาะ ไม่มีรถวิ่ง เราก็เดินเล่นกันได้แบบชิวมาก แถมถนนเค้ายังสะอาดม๊ากกก ไม่เจอขยะสักชิ้น ญี่ปุ่นนี่ถือว่าเป็นคนที่มีระเบียบวินัยสุดๆจริงๆ
ระหว่างทาง เค้าก็จะมีปลูกดอกไม้ไว้หน้าร้านกันด้วย ทำให้รู้สึกสดชื่นจัง
เดินกันมาเรื่อยๆ ก็มาเจอร้านเครื่องเขียน เครื่องประดับน่ารักๆ และราคาไม่แพง เราเลยหยุดดูร้านนี้อยู่พักนึงเลย
สำหรับคนที่ชอบพวกงานแฮนเมด ผ้าญี่ปุ่น หรือพวกของใช้ที่เป็นผ้า ที่จิยูกาโอกะ ก็มีหลายร้านให้เลือกเลย
ของที่วางขายก็เป็นพวกของมีดีไซน์ ใส่ไอเดียเก๋ๆลงไปด้วย
ใครที่ชอบของพวกนี้ก็เดินกันเพลินเลย พูดเลยว่า ถือกล้องนี่ แทบไม่ได้ถ่ายรูป อยากจะวางกล้องไว้ก่อน และซื้อให้สะใจ ^o^
แม่กับพี่เก้า จะชอบพวกงานผ้าสไตล์หวานๆ แนววินเทจ อิงลิชคันทรี่
อยากมีเวลานานกว่านี้ เดินที่จิยูกาโอกะ ให้เดินแค่ 2 ชม. มันน้อยปายยยยย
แค่เดินดูอย่างเดียว ไม่ต้องซื้อก็รู้สึกสนุกแล้ว
เพราะของเค้าวางขายไว้หลากหลายมาก และแต่ละชิ้นก็มีลาย และดีไซน์น่ารักๆ สีหวานๆตามสไตล์ญี่ปุ่นเลย ใครที่ชอบของน่ารัก ห้ามพลาดเมืองนี้เลยนะ
แต่ Jiyugaoka ไม่ได้ดังแค่ความเป็นเมืองน่ารัก ขายของน่ารักอย่างเดียวนะ เค้ายังดังเรื่องเป็นแหล่งร้านขนม และร้านกาแฟ และก็อร่อยด้วยนะ
ซึ่งเราก็เห็นด้วย เพราะเท่าที่เดินผ่านมา เราเจออยู่หลายร้านมาก มันจะเป็นร้านเล็กๆ อยู่ติดๆกัน และเค้าก็พร้อมใจกันตกแต่งอย่างมีสไตล์ บางร้านก็ออกหวานๆ แนววินเทจมาเลย บ้างร้านก็แต่งเป็นญี่ปุ่นก็มี ดูแล้วเหมือนกำลังเดินอยู่ทั่วทุกมุมโลกเลย -..-
ร้านที่ห้ามพลาดสำหรับแฟนๆขนมหวาน คือร้าน Sweets Forest เป็นร้านทำขนมที่รวมเอาเชฟขนมจากร้านเบเกอรี่ดังๆ ในยุโรปมารวมตัวกันที่นี่ โดยข้างในจะมีร้านย่อยๆ อยู่ 8 ร้านทั้งร้านวาฟเฟิล, เค้ก และเครป แต่เราไม่ได้ไปหรอกนะเพราะเรามีเวลาแค่ 2 ชม. เท่านั้นเอง เราเลยแค่ดูบรรยากาศเมืองจิยูกาโอกะ และช้อปกันเล็กๆน้อยๆ
เอาภาพมาให้ดูเป็นออเดิร์ฟขนมที่ Sweets Forest ช่างทรมานความอยากเหลือเกิ๊นนน -..-
(Cr. ภาพ
http://www.sweets-forest.com )
ถ้าใครที่อยากลองไป วิธีการไปคือ : ลงสถานีจิยูกะโอกะ สาย Tokyu Toyoko แล้วเดินออกทาง South exit (ทางออกทิศใต้) เดินออกมาแล้วมองหาป้าย HAC สีฟ้า ร้านจะอยู่ในตึก La Cour Jiyugaoka ชั้น 2 แต่จากที่หาข้อมูลมา ตึกนี้ยังมีร้านขนมอีกเพียบ ใครสนใจก็ลองแวะไปชิมกันได้นะ
ได้เวลากลับแล้ว ก่อนกลับก็ขอลองขนมที่ Jiyugaoka ซะหน่อย หน้า Jiyugaoka Station จะมีร้านขนมร้านนึงชื่อ Mozart ขายเค้กสไตล์ญี่ปุ่นนี่หล่ะ เราเลยแวะเข้าไปดู (ไม่มีใครปฏิเสธเลยนะ เพราะได้ชิมเค้กสไตล์ญี่ปุ่นกันแล้ว ที่เราชิมในส่วนอุเอโนะ ก็ติดใจ เอาอีกๆ อยากกินๆ)
ตอนนี้เป็นช่วง Straberry Cake Fair ขนมเค้กที่เค้าทำจะมีแต่สตรอเบอรี่ทั้งนั้นเลย แอร๊ยยยยย
ระหว่างรอเค้าห่อเค้กใส่กล่อง เลยเก็บรูปเค้กมาฝากกัน เค้าทำเค้กได้น่ารัก น่ากินม๊ากกก
เค้กญี่ปุ่น เค้าจะมีสไตล์ของเค้าเลยคือ แต่งสวยน่ารัก และรสชาติไม่หวานมาก
มีเค้กหลายแบบเลย ลองดูกันไปเพลินๆนะ อันนี้เป็นเค้กส้ม เป็นเนื้อส้มแบบจัดเต็มมาก แปะมาครอบตัวเค้กเลย
เครปเค้กแปะสตรอเบอรี่ยักษ์ ตามชั้นของมันจะสอดแทรกเนื้อสตรอเบอรี่อยู่ด้วย ทำให้กัดไปตรงไหนก็เจอเนื้อสตรอเบอรี่
เค้กช็อกโกแลตอีกแบบนึง ทำเป็นชั้นช็อกโกแลตสลับกับเนื้อเค้ก แล้วโรยทับด้วยผงช็อกโกแลตอีกที
อันนี้เหมือนเป็นทาร์ตเค้กผลไม้หลากชนิด แต่เราเห็นสตรอเบอรี่นำมาก่อนเลย
เค้กมองบลังสตรอเบอรี่ -..-
แยมโรลไส้สตรอเบอรี่ เท่าที่ดูมารู้สึกว่าเค้กญี่ปุ่นเค้าจะมีเอกลักษณ์อีกอย่างนึงคือ เวลาตกแต่งเค้กเค้าจะจัดเต็มไม่มีกั๊ก แบบแปะสตรอเบอรี่ผอมๆอะไรงี้ ไม่เคยเห็น จะเห็นแต่ใส่สตรอเบอรี่ยักษ์ หรือชิ้นส้มอ้วนๆ ทุกที มันเลยทำให้เค้กยิ่งดูน่ากิ๊นน่ากิน
ถึงเวลาแกะชิมกันแล้ววว เราก็มานั่งแหมะอยู่หน้าร้าน แล้วก็แกะชิมกันเดี๋ยวนั้นเลย มาดูซิว่าพี่เก้าเลือกไรมาทานบ้าง
กล่องใหญ่มาก แต่แกะออกมามี 2 ชิ้น -..- ก้อนดำเป็นเค้กช็อกโกแลต เนื้อนุ่ม รสชอคโกแลตเข้มข้นมาก
ส่วนอันนี้เป็นเค้กวนิลลาข้างล่างเป็นสตรอเบอรี่ เนื้อเค้กนุ่มๆ หอมครีมสด รสหวานกำลังดี ไม่เลี่ยนเลย พอกินกับสตรอเบอรี่แล้วรสออกเปรี้ยว หวานมัน
ไดเรคเตอร์ให้ 5 ดาว ^^
ตอนนี้ต้องรีบแล้ว เพราะเรามีนัดถ่ายทไวไลท์กันที่โมริทาวเวอร์ ที่รปปงงิ
แผนที่ Mori Tower
พิกัด : 35.660499, 139.729238
MAP :
https://goo.gl/maps/mnAPY4F6aMw
กางแผนที่รถไฟฟ้าให้ดู
มาถึง Roppongi แล้ว โผล่ออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า ก็ฟิลได้ถึงความเจริญในเมืองกันเลย
เพราะ รปปงงิ ถือว่าเป็นอีก 1 ย่านที่อยู่ในตัวเมือง มีตึกสูงๆเยอะแยะ เป็นที่ช้อปปิ้งแนวไฮโซ และเป็นย่านที่เที่ยวกลางคืนที่ใหญ่สุดในโตเกียว มีพวกร้านขายเหล้า ขายอาหาร ผับบาร์ ซึ่งเราก็ไม่ได้แวะอะไรพวกนี้หรอก เพราะไม่ใช่แนว
แนวเราต้องนี่เลย.. มาดูแมงมุมยักษ์ที่รปปงงิ หน้าตึกโมริทาวเวอร์ จะมีแมงมุมยักษ์ตั้งอยู่ จนเหมือนกลายเป็นสัญลักษณ์ของรปปงงิไปเลย
ส่วนสูงของเจ้าแมงมุมตัวนี้ประมาณ 10 เมตร ถ้าได้เข้าไปยืนดูใกล้ๆจะรู้สึกถึงความอลังของมันจริงๆ
ขึ้นไปบนโมริทาวเวอร์กันดีกว่า ตึกนี้มีทั้งหมด 54 ชั้น เป็นทั้งที่ช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และออฟฟิส ชั้นที่เราจะไปคือ ชั้น 52 เป็นจุดชมวิวรอบโตเกียว 360 องศา วันจันทร์ – พฤหัส และวันอาทิตย์เปิด 10.00 – 23.00 ส่วนวันก่อนวันหยุด (ศุกร์กับเสาร์) เปิด 10.00 – 25.00 (ขายตั๋วถึง 24.00) ก่อนไป ลองเข้าไปเช็คข้อมูลกันได้ที่เว็บเค้าเลย
http://www.roppongihills.com/tcv/en/
พอเข้าไปตัวตึกแล้ว เราก็ต้องหาลิฟท์ขึ้นไป Tokyo City View
กดไปชั้น 3
แล้วก็ออกมาตามทางเดินไปเรื่อย ตอนแรกๆก็งง เหมือนกันว่ามันต้องเดินไปทางไหน ถ้าก็เลยถามพนักงานที่นู่นเอา ไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะพูดมาแล้วเราฟังไม่เข้าใจ เพราะสุดท้ายมันจะเข้าใจได้เองแหละ และเราก็รู้สึกว่า การได้สื่อสารกับคนที่พูดกันคนละภาษา ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างนึงเวลาเราไปเที่ยวต่างประเทศเอง
ราคาค่าตั๋ว 1500 เยน ถ้าจะขึ้นไป Sky Deck ด้วยจะเพิ่มอีก 500 เยน เราก็ซื้อแบบรวม Sky Deck ไปด้วย
ระหว่างทาง ก็จะมีรูปนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการของที่นี่ เป็นวิวบน Sky Deck ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าของตึกนี้
ขึ้นไปบนจุดชมวิวกันเลยยย
ขึ้นมาแล้ว จะเห็นกระจกใสรอบตึกเลย ตรงนี้จะเป็นจุดที่เราจะได้ดูวิวโตเกียวแบบ 360 องศา
เค้าจะมีเก้าอี้ให้นั่งดูวิวด้วยนะ ส่วนใหญ่คนก็จะมาเวลาช่วง 5 โมงเย็นกันเพื่อจะได้ทันวิวช่วงพระอาทิตย์ตกพอดี
เท่าที่เห็น ก็จะขึ้นมากันเป็นคู่บ้าง เป็นกลุ่มเพื่อนๆบ้างที่ขึ้นมาดูวิวมาถ่ายรูป แต่บางทีก็เห็นมานั่งดูวิวคนเดียวก็มี
มี SHOP ขายของที่ระลึกด้วย
มีร้านอาหารด้วยนะ ทานไปด้วย ดูวิวหอโตเกียวไปด้วย บรรยากาศแสนจะโรแมนติกเจงๆ
มันจะมีหลายมุมให้เราเลือกเก็บภาพนะ แต่ถ้าจะให้สื่อว่าเรามาถ่ายรูปที่ไหน ก็ควรถ่ายให้ติดโตเกียวทาวเวอร์ มันจะมีอยู่มุมนึงที่คนจะไปออกันตรงนั้นก็คือ จุดที่เห็นโตเกียวทาวเวอร์ ได้ชัดที่สุดน่ะเอง เราก็แทรกๆตัวอยู่ตรงนั้นด้วยเพื่อจะได้เก็บรูป
เรื่องการใช้ขาตั้งกล้องบนตึกชมวิวแบบนี้ ถ้าลองคิดกันเล่นๆในไอเดียพวกเรานะ การกางขาตั้งกล้องบนนี้น่าจะกินที่เยอะพอควร ทำให้บังคนอื่นที่เค้าจะมาดูวิว และยังเป็นการจองมุมนี้อยู่คนเดียวอีกตะหาก ยังไงคิดว่าถ้าจะใช้ก็เลือกเป็นแบบโมโนพอด หรือขา Tripod เล็กๆ หน่อย อย่างขากอลิลล่า หรือ Pixi ของ Manfrotto น่าจะเวิร์คกว่า
แต่เพราะขาดการเตรียมตัวไป ไม่รู้ว่าที่นี่เค้าห้ามใช้ขาตั้งกล้องรึป่าว เลยไม่กล้าหยิบขาตั้งออกมาใช้ แถมยังเจอเงาสะท้อนในกระจกอีก เอาผ้ามาคลุมกล้องก็แค่ช่วยได้นิดหน่อย
หลังจากหมด Twilight ฟ้ามืดไปเรียบร้อย เราชวนกันขึ้น Sky Deck อยากรู้ว่ามันจะเป็นงัย จะต่างกับตึกใบหยกบ้านเราอะป่าว
ขึ้นมาข้างบนแล้ว คราวนี้จะเห็นวิวแบบไม่มีกระจกกั้นเลย สูงปริ๊ด มองออกไปก็เห็นวิวโตเกียวได้รอบทิศเลย เค้าก็จะมีกล้องส่องทางไกลไว้ให้เราเล่นด้วยนะ
แต่ลมข้างบน sky deck นี่ไม่ธรรมดา ลมแรงมาก พัดทีผมเผิมกระจุยหมด แถมลมที่พัดเนี่ยไม่ใช่ลมธรรมดาแต่เป็นลมหนาวววว ตอนนี้ก้าวขาแทบจะไม่ออกแล้ว
ข้างบนนี้ยังเป็นที่สำหรับจอดฮ.ด้วยนะ
และเค้าก็มี security คอยเดินตรวจอยู่ตลอดเลย เป็นญี่ปุ่นที่หน้าตาดูเฮี้ยบมาก
เดินมาอีกด้านนึง เห็นมีกล้องตั้งอยู่ด้วย อันนี้เป็นบริการถ่ายรูป คงได้ภาพเหมือนที่เราเห็นเค้าโชว์อยู่ด้านล่างละมั้ง
คู่นี้ก็มาถ่ายรูป เราเลยเก็บภาพไว้ซะเลย เพราะวิวตรงที่เค้ายืนมันสวยดี เห็นหอโตเกียวชัดเป๊ะ เห็นคู่นี้เดินขึ้นมาสะดุดตามากเพราะผู้หญิงแต่งตัวน่ารักคิขุ ผู้ชายก็ดูเท่ๆ และแล้วเค้าก็เดินเข้ามาหาเราแล้วพูดว่า “พี่ๆ ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้มั้ยคะ” อ้าว เป็นคนไทยรึนี่ o_O'
ก็เป็นประสบการณ์หนุกๆในการขึ้นตึกโมริ มาดูวิว 360 องศาที่โตเกียวนะจ้ะ
สนุกมากกมายกับทริปวันนี้ พี่ฉิม Director ของเราฟินมากบนตึกโมริ แต่! ยังมีอีกมุมนึงที่ฮี Request ขอถ่ายก่อนกลับ
เลยขอร่ำลากันด้วยภาพฟิชอาย มาม็อง สไปเดอร์ (โดยพี่ฉิมไดเรคเตอร์) เพราะเป็นมุมที่ฮี อยากจะเก็บมากตั้งแต่ก่อนขึ้นตึกแล้ว แต่กลัวไม่ทันถ่ายทไวไลท์บนตึก เลยมาเก็บเอาตอนฟ้ามืดแทน ระหว่างที่ถ่าย ยามก็มาเดินป้วนเปี้ยนใกล้ๆ อาจจะมาดูว่ามันทำไรอยู่ฟ่ะ เพราะเวลาถ่ายเราต้องตั้งบนขาตั้งกล้องเตี้ยๆและตั้ง speed shutter ช้าๆ มันก็เลยรอนานหน่อย
สรุปการเที่ยววันนี้ ก็ได้รับประสบการณ์ และความแปลกใหม่เยอะแยะมากมาย นับวัน ก็ยิ่งปรับตัว และได้เรียนรู้ ได้รู้จักชาวญี่ปุ่นแบบตัวจริง เสียงจริงมากขึ้นทุกวัน มีความอดทน และเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น และก็ตื่นเต้นที่การเดินทางของเรายังไม่จบง่ายๆ มารออ่านกันต่อนะคะ
<