เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 2
มาต่อกันวันที่ 2 ในโตเกียวของพวกเรา
เมนูอาหารเช้าของเราในวันนี้ จะเป็นข้าวหน้าปลาดิบค่ะ แต่ก่อนอื่น เราก็ต้องรองท้องกันก่อน เพราะกว่าจะไปถึง ก็อาจจะหิวเกินไป ก็เลยหาอะไรเล็กน้อยจาก Family Mart ข้างๆ โรงแรมนี่แหละทานกัน ขอบอกว่า Mini mart ของญี่ปุ่นนี่สุดๆ มีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก เดี๋ยวไว้มีรีวิวให้ดูด้วยนะ อิอิ ตอนนี้ แม่ก็รองท้องเรียบร้อย ก็เริ่มมีแรงออกเดินทาง
ทริปวันนี้ เราจะไปเที่ยวที่ตลาดอาเมโยโกะ (Ameyoko) เท่าที่หาข้อมูลมา เค้าบอกว่า ในตลาดอาเมโยโกะ จะมีร้านขายข้าวหน้าปลาดิบอยู่ เราก็เลยจะไปชิมกันซะหน่อยค่ะ และหลังจากนั้น ก็จะไปต่อกันที่ สวนอูเอโนะ จริงๆ จะไปสวนอูเอโนะ เรากะว่าจะไปถ่ายคลิป Photo Corner กันที่นั่นค่ะ สถานีที่เราจะมุ่งหน้าไปวันนี้ H17 Ueno
ก็เริ่มจากนั่งรถจากสถานี H14 Kodemmacho เป็นสถานีที่อยู่ใกล้ที่พักเรามากๆ ใช้สายสีเทา (Hibiya Line) วิ่งไปลง H17 ไม่ต้องเปลี่ยนสายเลย แต่ให้ระวังตอนขึ้นว่าจะขึ้นฝั่งไหนนะ ก็ดูจากป้ายว่ามันชี้ว่า next station คืออะไร
อย่างฝั่งที่เราขึ้น ป้ายก็จะชี้ว่า next station คือ Akihabara H15 ก็ให้ขึ้นขบวนนี้เลย แล้วมันก็จะไล่ไป H16, และก็ H17 Ueno อย่างเงี้ยค่ะ
และแล้ว เราก็มาถึงสถานี อูเอโนะ (H17) โดยสวัสดิภาพ
ในสถานีรถไฟใต้ดิน ก็จะมีร้าน minimart ขนาดจิ๋ว แบบที่เราเห็นในการ์ตูนกันน่ะ ขายหนังสือพิมพ์ ลูกอม ขนม น้ำ เหมือนจะเห็นอยู่ทุกสถานีเลยนะ และก็มีห้องน้ำทุกสถานีเหมือนกัน เรียกว่าเที่ยวโตเกียวเนี่ยสะดวกสบายสุดๆ
และสถานีรถไฟฟ้าบางสถานี เราก็จะเจอตู้ Locker แบบนี้ เค้าเอาไว้ทำอะไร??
เค้ามีไว้ให้เราเอาไว้ฝากของค่ะ คือบางคน อาจจะมีกระเป๋าเยอะ ของเยอะ แล้วไม่อยากหิ้วไป คือถ้าเรามั่นใจว่า เดี๋ยวขากลับ เราจะต้องกลับมาที่สถานีนี้อีกแน่ๆ เราก็ฝากของไว้ในล็อคเกอร์นี้ได้ค่ะ อย่างตู้นี้ เราต้องจ่ายทั้งหมด 300 เยน วิธีใช้ก็เปิดตู้เอาของใส่ไว้ หยอดเหรียญ 100 เยนทั้งหมด 3 เหรียญ เสร็จแล้วก็บิดกุญแจล็อคไว้ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว สะดวกดีจัง
เคยได้ยินมานานแล้วล่ะ ว่าญี่ปุ่นเนี่ย เป็นเจ้าแห่งตู้กด ตู้กดน้ำ ตู้กดขนม ได้มาญี่ปุ่นวันนี้ ได้มาเห็น สมคำร่ำลือจริงๆ ขนาดหนังสือ ยังให้กดได้เลยอ่ะ แจ๋วไปเลย
ตู้กดน้ำผลไม้แบบนี้ ก็เลยดูออกจะธรรมดา ถ้าเทียบกับตู้กดหนังสือเมื่อกี้ อิอิ
แต่ที่อยากให้ดูคือ ด้านข้างๆ ตู้เค้าจะมีช่องแยกขยะด้วย ว่าถ้าเป็นขวดใส่ช่องนี้ ถ้าเป็นกระป๋องก็ใส่อีกช่อง เป็นการแยกขยะว่า อะไร รีไซเคิลได้ อะไรต้องเก็บอย่างระวังประมาณนี้ เรียกว่าเค้าห่วงใยสิ่งแวดล้อมจริงๆ และที่สำคัญคือ เค้าจะไม่ค่อยนิยมให้เดินกิน เดินดื่มนะ คือเค้าอยากให้เรา กดตรงนี้ ดื่มตรงนี้ให้เสร็จ แล้วทิ้งตรงนี้เลยนะ เพื่อความสะอาดของบ้านเมืองค่ะ ไอเดียนี้ ดีจริงๆ พูดเลย
เดินออกมาจากสถานี เราก็จะมาเจอวิวแบบนี้
ลองไปดูป้ายนะ ถ้าเดินตรงไป ก็จะไปเจอตลาดอาเมโยโกะ แต่ถ้าเลี้ยวไปทางขวา เดินไปอีก 100 ม. ก็จะเจออูเอโนะ พาร์ค
ตอนนี้เป็นเวลา 9 โมง พวกร้านค้าต่างๆ ก็ยังไม่เปิดกันเลย ยืนมองหน้ากันไปกันมา ก็ขออัพเดท status บน Facebook iLove หน่อยละกัน
แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เราเดินเข้าไปดูในอาเมโยโกะ ก่อนละกัน เผื่อจะมีร้านขายข้าวร้านไหนเปิดบ้าง ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 9 โมงเริ่มหิวข้าวละ ไอ้ที่รองท้องไว้ ก็ย่อยไปกับการเดินเรียบร้อย -___- จากสถานี อูเอโนะ (Ueno) เราก็เดินตามป้ายโดยเดินข้ามไปอีกฝั่งของถนน และเข้าไปในตรอกตรงนี้
ทางขวามือที่เห็นเนี่ย คือ ร้านปาจิงโกะของจริง (ปกติเห็นแต่ในการ์ตูนญี่ปุ่น)
นี่คือคนที่มานั่งรอคิวเข้าร้าน ดูๆ แล้วก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลยนะ นึกว่าจะมีแต่คนแก่ที่เข้ามาเล่น
ตรอกที่เราเดินเข้ามา ยังไม่ใช่ตลาดอาเมโยโกะ นะ มันต้องเดินลัดเลาะไปอีกหน่อย
จนกระทั่งเจอหน้าตาอย่างนี้แหล่ะ ใช่เลย ตลาดอาเมโยโกะ เจอแบบนี้แสดงว่ามาถูกที่ละ
แผนที่ Ameyoko Shopping Street
พิกัด : 35.710055, 139.774512
จากที่อ่านในหนังสือมา เค้าว่าเป็นตลาดอาเมโยโกะ เป็นแหล่งรวมของถูก ทั้งของสด ของแห้ง ขนม เสื้อผ้า รองเท้ากีฬา ที่ราคาถูกสุดๆ ของโตเกียว ถ้าจะซื้อของฝากเป็นพวกขนม หรือของแห้งละก็ ห้ามพลาดที่นี่เลยนะ มันจะคล้ายกับของฝากบ้านเราอย่าง ของดีจากเมืองตรัง ข้าวหลาม ต้องหนองมน อะไรอย่างเงี้ยค่ะ
ส่วนใหญ่ร้านที่นี่จะเปิดช่วง 10.00 – 19.00 และมักจะปิดวันพุธ ยังไงถ้าจะมาเที่ยวที่นี่ก็เลี่ยงวันพุธดีกว่า
ตลาดที่นี่ อารมณ์มันจะออกคล้ายๆเยาวราชบ้านเรานี่ละ ที่เดินๆ ไปก็จะมีของแห้ง ของสด ขนม และมีร้านอาหารข้างทาง
พวกของสด ก็จะมีปูยักษ์ ถ้าเป็นเนื้อปลาก็จะเป็นชิ้นใหญ่ๆ หนาๆ น่ากินมากๆ และก็มีไข่ปลา ปลาหมึกสดๆ ตัวใหญ่ๆ ดูแล้วน่ากินชะมัดเลย ติดตรงที่จะซื้อกลับไปคงไม่ได้ มันไม่มีที่จะประกอบอาหารอ่ะน่ะ
ของแห้งก็มีขายเพียบเลย อย่างพวกปลาหมึกแห้ง ถั่ว
สาหร่ายแห้ง เห็ดหอมแห้งก็มี
มาดูที่ขนมกัน จะเป็นพวกช็อคโกแลต คุกกี้ ลูกอม อย่างอันนี้ที่ถ่ายมา Kit Kat รสชาเขียวอร่อยมากเลยนะ รู้สึกหอมชาเขียว และแอบมีรสขมนิดๆ ฝาดหน่อยๆ ของความเป็นชาเขียว ไม่ได้หวานเจี๊ยบ นมจ๋าขนาดนั้น เค้าว่าเป็นของฝากที่แนะนำให้ซื้อ เพราะในไทยไม่มีรสนี้ขาย (หมายถึงนำเข้ามาอย่างเป็นทางการอ่ะ ยังไม่เคยเห็น จะเคยเห็นแต่พวกร้านที่หิ้วเข้ามาเองน่ะค่ะ) ถ้าเราได้รับของฝากเป็น Kit Kat ชาเขียวนี่เราก็ดีใจนะ เพราะมันอร่อยจริงๆ ค่ะ ^o^
ของขาย เค้าก็จะวางขายกันเป็นลังเยอะๆ แบบนี้ละ ข้างในร้านยังมีขนมอีกเพียบเลย เดินมาถึงตรงนี้บอกเลยว่า เราเปลี่ยนแผนการเที่ยวเลย เรารู้สึกว่า ในตลาดมีอะไรให้ผลาญ Pocket money ได้เยอะมากๆ ตอนแรกวันก่อนกลับ เราจะไปชิบุย่ากัน แต่มาคิดๆ กันดู ตลาดอาเมโยโกะดูจะเหมาะกับเรามากกว่า จริงๆ คิดว่า เหมาะกับทุกคนที่ชอบความหลากหลาย และของถูกค่ะ
พอเดินออกมาจากส่วนอาหาร ก็จะเป็นส่วนที่เค้าขายพวกเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา และเราก็ได้เดินไปเจอร้าน Dr. Martens ก็รู้สึกตะหงิดๆ มันคือ ด็อกเตอร์มาตินที่เรารู้จักหรือเปล่านะ หรือเป็น ของก็อบ อ๊ะ ต้องเป็นของก็อบแน่ๆ อ้าว ไหนว่าญี่ปุ่น ไม่มีของก็อบ แต่ก็มาได้รู้ทีหลังว่า มันก็คือด็อกเตอร์มาตินนั่นแหล่ะค่ะ แหม... ไม่ใช่แฟนพันธุ์ด็อกเตอร์มาตินนี่นา เลยไม่รู้จัก รู้จักแต่บาจาอ่ะ
เสื้อกันหนาวราคาถูกเพียบ (แต่ดูแล้วไม่ค่อยจะแฟชั่นมาก) ร้านที่แฟชั่นๆ หน่อยก็มีนะ
ร้านขายเครื่องสำอางค์ น้ำหอม เค้าขายทั้งแบรนด์นอกและก็แบรนด์ญี่ปุ่น มันดูคล้ายกับ เป็นร้านที่เค้าคงจะหิ้วเข้ามาเองหรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ แต่เห็นเวลาจ่ายเงินกัน เค้าไม่ได้ออกบิลให้เหมือนในห้างนะ พี่เก้าก็เลยลองเข้าไปถามราคาปรากฏว่า มันถูกกว่าที่อื่นเลยนะ แต่เราก็ยังไม่ได้ช็อป รอๆๆๆ วันสุดท้าย เดี๋ยวเจอกัน
ร้านอาหารข้างทางก็มี เป็นแบบนี้ ถ้าจะกินก็มานั่งหน้าร้าน ก็คล้ายๆ กับร้านอาหารในตลาดสำเพ็งนั่นแหล่ะ
ร้านนี้ เป็นร้านขายของแห้ง ขนมต่างๆ อย่างเช่น ปลาหมึกแห้ง ปลาหมึกน้ำส้ม (น้ำส้มสายชูนะ อิอิ แปลกเนอะ) และพวกขนม ก็ถั่วต่างๆ ถั่วพิทาชิโอ้ แมคคาเดเมีย อัลมอนด์ ถั่วลิสงเคลือบวาซาบิ และก็ปลาทาโร่ไส้งาดำ (ขอบอกว่า ปลาทาโร่อันนี้เด็ดมาก อร่อยสุดๆ เคยไปซื้อในไทย ที่ร้านขายขนมของนอก ห่อละ 300 บาท ซื้อที่ญี่ปุ่น ประมาณ 200 กว่าบาท ถ้าจำไม่ผิดนะ) และเราชิมได้ด้วยนะ อย่างสนใจอันไหน คุณลุงคนขายเค้าก็จะหยิบตัว Demo ให้ชิม อิอิ พวกเราก็ชิมนั่น นี่ โน่น อร่อยไปหมด ><
ลุงคนขายอัธยาศัยดีม๊ากกก บริการดีสุดๆ ลุงบอกว่าลุงก็เล่นกล้อง DSLR เหมือนกันนะ ว่าแล้วแกก็ไปหยิบรูปมาให้ดู แกก็ไปถ่ายรูปดอกบัวที่สวนอูเอโนะ สวยเชียว ร้านลุงขายดีมาก ลูกค้าต่างประเทศมาแวะเวียน ซื้อนั่น นี่ นู่นตลอด เราก็หมดไปเยอะกะลุง อิอิ ส่วนหนึ่ง เพราะลุงน่ารักมากด้วยอ่ะ พูดไทยได้นิดหน่อย พูดแต่ อร่อยมาก อร่อยมาก (ดูรูปจิ ชู 2 นิ้วด้วย สมกับเป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ อิอิ)
แผนที่ ร้านขายของฝากคุณลุง ตลาดอะเมโยโก
พิกัด : 35.7090882,139.7747312
ลุง ขายปลาหมึกห่อละ 400 เยน ถ้าซื้อ 3 ห่อลดเหลือ 1,000 เยน เราก็ซื้อเลย ไม่ได้ต่อราคาอะไรนะ แต่เคยได้ยินมาว่าที่ตลาดอะเมโยโกมันต่อราคาได้นะ แต่เราก็ไม่กล้าต่ออ่ะ ก็ลุงลดราคาอยู่แล้ว อีกอย่างด้วยความที่แกอัธยาศัยดีด้วย เลยไม่อยากต่อ
ขอพูดถึงปลาหมึกน้ำส้มนิดหน่อยค่ะ มันจะเป็นเนื้อปลาหมึกแห้งๆ ฉีกเป็นเส้นๆ และเหมือนกับโดนหมักไว้กับน้ำส้มสายชู เวลาทาน ก็จะมีกลิ่นน้ำส้มสายชูนิดๆ ไม่ได้เยอะ ถามว่าอร่อยมั้ย ทานคำแรก อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคย เพราะมันก็แปลกอยู่ ที่ทานปลาหมึกไป ก็มีกลิ่นน้ำส้มสายชูไปด้วย แต่พอทานไปคำหลังๆ ทานไปเรื่อยๆ มันก็เริ่มชินกลิ่น มันก็เริ่มอร่อยขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
ปลาหมึกแห้ง หน้าตาเหมือนปลาหมึกที่ซื้อที่พัทยาเลย เราเลยไม่ได้ซื้อมา
ลุงคนขายบอกว่า มาๆ เอากล้องมานี่ เดี๋ยวถ่ายให้ (เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ เดาได้จากท่าทาง) ต้องขอบคุณคุณลุงเจ้าของร้านด้วยนะคะ พวกเราเลยมีรูปทุกคนเลย อิอิ
ก่อนไป ลุงบอกว่า “แล้วพบกันใหม่นะ” แต่ขอร้อง.. แกพูดภาษาไทยอ่ะ แสดงว่ามีคนไทยมาซื้อร้านนี้เยอะแน่ๆ ถ้ามาอาเมโยโกะ อีก จะแวะมาซื้อลุงอีกน๊า ^^
หลังจากที่ช็อปเสร็จ ได้สติกลับคืนมา ก็เริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันที ก็ออกเดินหาร้านอาหารกันต่อ แล้วก็มาเจอแมคโดนัลด์ญี่ปุ่นเข้า แต่เฮ้ย....
มาญี่ปุ่นจะกินแมคหรอ อย่าเพิ่งละกันเนอะ ก็ได้แต่ยืนมอง เพราะเราต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ ข้าวหน้าปลาดิบ
แม่ก็เห็นด้วยนะลูก.... ทั้งที่แม่ไม่ถนัดปลาดิบนะ
มติที่ประชุมสรุปว่าให้เดินหาร้านอีกที ก็เลยเดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอตู้กดบุหรี่ คนญี่ปุ่นนี่เค้าซื้อของได้ทุกอย่างผ่านทางตู้กดจริงๆ
ระหว่างที่พี่เก้าเดินหาร้าน เบญก็มาถ่ายรูปตู้คีบตุ๊กตา Line อยากได้จัง ทำไมเราไม่ซื้อมามั่ง -..-
มีตุ๊กตาเห็ดด้วย อันนี้ชอบเป็นพิเศษ ชอบญี่ปุ่นจังเลย เค้ามักจะมีตุ๊กตา หรือตัวการ์ตูนน่ารักๆ มาให้ยั่วน้ำลายเราเสมอ
แล้วเราก็เดินมาเจอร้านข้าวหน้าทะเล ร้านนี้เป็นร้านข้างทางในตลาดอาเมโยโกะ ประมาณนี้แหละ พอจะนึกภาพออกใช่มั้ยคะ ร้านในตลาด ก็จะแบบนี้ ร้านนี้ เค้าก็แขวนเมนูไว้ด้านหน้า
แผนที่ ร้านดงบุริ ตลาดอะเมโยโก
พิกัด : 35.7083805,139.7747152
หน้าร้านจะมีรูปข้าวหน้าทะเลต่างๆ ถ่ายรูปติดไว้ เราก็ยืนเลือกๆๆ แล้วก็เดินไปบอกเค้า
มีชื่อภาษาอังกฤษด้วย เลยทำให้สั่งง่ายหน่อย
เลือกเสร็จแล้วก็เดินไปสั่งกะสาวญี่ปุ่นคนนี้ได้เลย
โต๊ะด้านในก็นั่งเบียดๆ กันอย่างนี้ และก็มีพลาสติกคลุมรอบร้าน เอาไว้กันลมหนาว มันกันได้จริงๆ นะ พอเข้าไปนั่งในร้านก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาเลย
หาที่นั่งเรียบร้อยละ ที่นี้ก็เหลือแค่รออาหาร ระหว่างที่รอก็หันไปเห็นแท็งค์ใส่ชาร้อน ที่นี่เค้ามีบริการน้ำชาฟรีด้วย เยี่ยมไปเลย ตั้งแต่กินอาหารมา รู้สึกว่าร้านอาหารที่ญี่ปุ่นนี่เค้าจะมีบริการชาฟรีทุกร้านเลยนะ ไม่เว้นแม้แต่ร้านข้างทางธรรมดา
เริ่มเมนูแรกด้วยข้าวหน้าปลาไหล อร่อยมากๆ ปลาไหลก็ให้ชิ้นใหญ่เบ้ง เนื้อปลาแน่นๆ ราดด้วยซอสหวานๆ มีกลิ่นย่างนิดๆ ถูกใจคนชอบปลาไหลแน่ๆ ของทานเคียงกับเมนูนี้คือ หอยงวงช้างค่ะ (Mirugai ต้องขอบคุณสมาชิกใน Youtube ด้วยค่ะที่ให้ความรู้ ^^) ตัวข้าว ก็ตามสไตล์ข้าวญี่ปุ่น เม็ดข้าวอ้วนๆ หยุ่นๆ ไม่แฉะเลย รู้สึกชอบข้าวมากๆ
ถ้าสังเกตในชาม จะเห็นว่า เค้าใส่วาซาบิมาให้ในชามเลย โดยปกติพี่เก้าจะไม่ทานวาซาบิเลยนะ เพราะเป็นคนทานเผ็ดไม่เก่งเอามากๆ แต่มาถึงญี่ปุ่น ต้นตำรับวาซาบิ จะไม่ลองซะหน่อยหรอ พี่แกก็จัดเลยค่ะ ชิมเปล่าๆ เลย ก็เลยทำให้รู้ว่า วาซาบิญี่ปุ่นแท้ๆ จะไม่เผ็ดมาก อย่างที่เคยทานในไทยนะ มันทานได้จริง ทานแบบป้ายวาซาบิลงไปในปลาไหลนิดหน่อย ให้พอมีกลิ่น พี่เก้าถึงกับบอกว่า อร่อยมาก (และขอบอกว่า หลังจากกลับจากญี่ปุ่น พี่แก ก็กินวาซาบิมาตลอดเวลาที่เข้าร้านอาหารญี่ปุ่น อื้มๆ ของเค้าถึงเครื่องจริงๆ นะ ^^)
เมนูถัดมา ข้าวหน้าปลาทูน่ากับไข่หอยเม่น ก็ตั้งใจไว้ว่า อยากลองไข่หอยเม่นดูสักครั้ง ก็ได้มาลองสมใจ จัดมาคำแรกเลยแล้วกัน รู้สึกว่าไข่หอยเม่น กลิ่นแรงมากๆ ต้องเตือนเลยว่า คนที่ไม่ชินกับกลิ่นคาวแรงๆ ไม่ใช่แนวถนัด ก็ไม่แนะนำ เพราะอาจจะเสียของในความรู้สึกของคนที่ชอบ 555+ คือ จริงๆ จะบอกว่า ปลาดิบเค้าสดมาก แม้แต่ไข่หอยเม่นเอง ก็สด คือ ถ้าไม่สด อาจจะเหม็นทานไม่ลงก็ได้ค่ะ
ชามนี้ เป็นข้าวหน้าทะเล (ขอตั้งชื่อให้ตามหน้าไปเลยนะ อิอิ) คือเค้าจะเป็นหน้ารวมๆ มาเลย มีทั้งปลาหมึก กุ้ง หอยเชลล์ และปลาแซลมอน เมนูนี้แม่เป็นผู้เลือกมา เนื่องจากไม่ค่อยชอบปลาดิบค่ะ แซลมอน ก็เลยตกเป็นของลูกๆ ไป ชามนี้ เหมาะมากสำหรับใครที่ชอบทานอะไรแบบรวมๆ ทะเลๆ ไม่ปลาดิบเกินไป ข้าวหน้าทะเลชามนี้ แม่ถึงกับเอ่ยเลยว่า อร่อยมากเพราะความสดของหน้าต่างๆ ค่ะ หอยเชลล์นี่ นุ่ม อร่อย ละลายในลิ้นไปเลย ชอบมากเลยค่ะ
ชามถัดมาเป็นข้าวหน้าปลาแซลมอนล้วนๆ กะไข่ปลา ชามนี้พี่เก้าโปรดมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นคนชอบทานแซลมอนเป็นชีวิตจิตใจ (แอบเม้าธ์เลย ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่น พี่เก้าไปทานปลาดิบทุกอาทิตย์จริงๆ ^^) เนื้อแซลมอนหั่นมาหนาๆ ชิ้นใหญ่กำลังดี เวลาทาน รู้สึกเลยว่า สดมากจริงๆ รสชาติมันๆ หอมๆ มันเด็ดมากจริงๆ คือ มโนไปเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่รู้สึกว่า มันอร่อยกว่าแซลมอนที่เคยทานมาเลย ไข่ปลาตรงกลางชามนี่ พระรองไปเลย แต่ก็ถือว่า อร่อยใช้ได้ เลือกมาไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ
ชามสุดท้ายเป็นข้าวหน้ารวมๆ อีกละ คราวนี้เป็นปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาหมึก (ที่เป็นเส้นสีขาวๆ) และปลาสับ ชอบตรงเนื้อปลาสับ กับปลาหมึกมากๆค่ะ ไม่คาวเลย เวลาทาน ก็ป้ายวาซาบินิดนึง จิ้มซอสโชยุอีกหน่อย มันเข้ากันดีทีเดียวค่ะ
หลังจากมื้อนี้ ซึ่งเป็นมื้อรวบข้าวเช้า ข้าวกลางวันแล้ว พวกเราก็เดินจากมาพร้อมกับพุงอ้วนๆ ออกจากตลาดเพื่อจะไปต่อที่สวนอูเอโนะ ระหว่างทางออกจากตลาดก็เห็นดอกไม้วางขาย นี่ถ้ามาวางในตลาดเมืองไทย มันต้องเหี่ยวแน่ๆ
สรุปแล้ว สำหรับตลาดอาเมโยโก เป็นตลาดที่พวกเราชอบและติดใจมาก และคิดว่า วันก่อนกลับจะมาแวะอีกอย่างแน่นอนค่ะ Pocket money ของพี่ฉิมที่บอกว่าจะเอามาซื้อ Onitzuka ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นของกินที่ตลาดแห่งนี้ซะแล้ว แหม่.... มันแทนกันได้จริงๆ
จากนั้นพวกเราก็เริ่มออกเดิน แต่รู้สึกว่าจะมาผิดทางอ่ะ หรือเรียกง่ายๆ ก็ หลงทางนั่นเอง เดินมาเจอที่จอดจักรยานของเค้า ชาวญี่ปุ่นนี่เค้าขี่จักรยานกันเป็นเรื่องธรรมดามาก เบญชอบมากเลยเพราะปั่นจักรยานเนี่ยสนุกดี และก็มันซอกแซกไปได้หลายๆ ที่
พูดถึงจักรยาน ที่โตเกียวเนี่ย เค้าจะมีเลนส์สำหรับจักรยานบนทางเท้าด้วยนะ คือเวลาเดิน ให้สังเกตดีๆ ว่ามันทางเท้า หรือเลนส์จักรยาน เพราะถ้าไปยืนในทางจักรยานเข้า เราอาจจะโดนจักรยานชนได้ เพราะคนญี่ปุ่น ขี่จักรยานเร็วมาก
เดินหลงทางไปเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะวนกลับมาที่เดิม พยายามเดินขึ้นสะพานลอย เพื่อจะได้เห็นทางบ้างไรบ้าง จริงๆ แล้วถ้าอากาศอุ่นกว่านี้ซักหน่อย การเดินหลงทางอาจจะรื่นเริงกว่านี้ แต่ตอนนี้ลมแรง และหนาวจังค่ะ ><
เดินไปเรื่อยๆ เราก็มาเจอสิ่งก่อสร้างแบบนี้ มาหาข้อมูลทีหลัง ทำให้รู้ว่า สิ่งก่อนสร้างนี้ ชื่อว่า อนุสาวรีย์ "Moon/Sun" อยู่บนสะพานลอยหน้า JR Ueno ซึ่งสะพานอันนี้ ชื่อว่า Jewelry Bridge
ทางที่เราเดินตรงนี้แหละ คือสะพาน Jewelry Bridge อ่ะ มาถ่ายรูปกันหน่อย มาถึง Ueno Station แล้ว
จากนั้นพวกเราก็เริ่มอยากจะเข้าห้องน้ำ หันไปเห็นสะพานลอยอีกฟากนึง มีทางเชื่อมไปที่ห้าง OIOI “ในนี้ต้องมีห้องน้ำแน่ๆ” พวกเราก็รีบพุ่งตัวเข้าห้างทันที
แผนที่ ห้าง OIOI City
พิกัด : 35.710782, 139.775919
หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เราก็ออกมาเจอร้าน Pastel เป็นร้านในห้าง OIOI ขายพวกพาสต้ากับขนมเค้ก
ตอนนี้เค้ามี เทศกาลสตรอเบอรี่อยู่ เค้าเลยทำเค้กออกมาเป็นสตรอเบอรี่ ออกมาหลากหลายเมนู
แต่ที่เด็ดคือ เค็กมันน่ารักอ่ะ และก็น่ากินด้วยนะ โฮะๆๆๆ
ป้ายก็ทำน่ารัก คิดว่าคงจะเขียนว่าในเค้กมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ชอบญี่ปุ่นตรงที่เค้าใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และสื่อออกมาแบบน่ารักๆ นี่ละ
อันนี้เป็นสตรอเบอรี่ในน้ำเชื่อม น่ากินๆๆๆ
อันนี้เค้กผลไม้รวม สีหวานมากกกก
ขนมคุกกี้ก็มีนะ อันนี้ซื้อไว้เป็นของฝากได้เลย เพราะทำ packaging สวย
อันนี้อะไรก็ไม่รู้ แต่ทำ package น่ารักดี
ดูไปๆ มาๆ แม่ก็บอกว่า ซื้อไปชิมกันสิ มาถึงนี่ อย่าคิดมาก ให้ได้ลองชิม ไม่เสียใจทีหลัง โอวววว ซาบซึ้งมากกับคำนี้ เห็นด้วยกับแม่ 100% จัดมา 2 ชิ้น เยอะไปมั้ย >< (ประชดตัวเองน่ะ แอบคิดเล็กๆ ว่า ทำไมไม่จัดมาอีกซัก 3-4 ชิ้น) สั่งมาแบบ Take away คือ ใส่กล่องไปทานไกลๆ อิอิ ก็เลยคิดว่า ไปนั่งทานที่สวน Ueno กันมั้ย เหมือนไปปิคนิคอะไรงี้
ออกเดินทางจากห้างต่อ ก็เดินผ่านร้านราเม็ง ร้านนี้เค้าเรียกแขกด้วยการตั้งราเม็งชามยักษ์ไว้หน้าร้าน แล้วทำควันปลอมให้มันดูร้อนๆ น่ากินๆ ไอเดียใช้ได้เลยนะ เพราะตอนที่เราเดิน ลมหนาวพัดตลอดเลย เห็นควันแบบนี้ โอววว ถ้าได้ซดน้ำแกงร้อนๆ คงจะดี
ส่วนอีกร้าน ก็เก๋ไปอีกแบบนะ ฮาตรงที่ตะเกียบมันลอยขึ้นลงๆ เองอ่ะ เค้าเข้าใจคิดจริงๆ
เดินมาอีกนิดเดียว ก็มาถึงสวนอูเอโนะละ ใช้เวลาไปวนพอสมควร จริงๆ แล้วสวนอูเอโนะอยู่ใกล้กับตลาดอาเมโยโกะมากๆๆๆ
แผนที่ สวนอุเอโนะ
พิกัด : 35.714322, 139.772640
สวนอูเอโนะ มีสวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ แต่พวกเราไม่ได้แวะไปละ อย่างที่บอกแต่แรกว่า พวกเรามาถ่ายคลิปกัน อาจจะไม่มีเวลามากพอ
ก่อนอื่นมาชิมเค็กที่ซื้อมาจากร้าน Pastel Pasta & Dessert กันก่อนเลย (บอกก่อนว่า รูปต่อไปนี้ ที่เล่าเรื่องเค้กของร้าน Pastel เป็นรูปที่ capture มาจากคลิปวีดีโอนะคะ เพราะว่า เราลืมถ่ายมา เนื่องจากพี่ฉิม ต้องเข้าอินเตอร์เน็ท เพื่อทำงานซักครู่ และเราก็อยากถ่ายวีดีโอเค้กนี้ มันก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา พูดง่ายๆ ว่าลืมคิดนั่นเอง รู้แต่อยากกินเร็วๆ เร็วๆ สิ อิอิ)
นี่คือเค็กที่เราซื้อมา 2 ชิ้นเอง อิอิ แต่ขอบอกว่า เด็ดดวง
ใน Packing เค้าก็ใส่น้ำแข็งแห้งมาให้ด้วยนะ เพื่อเค้กจะได้เย็นอยู่ตลอดทางที่เรา Take away
นี่คือ เค้กชิ้นแรก เรียกว่าอะไร ก็ไม่ได้อ่านเลย ดูแต่หน้าตากันเลยทีเดียว ดูสีมันหวานๆ และสัมผัสแรกเลยคือ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ หอมอ่อนๆ ผสมกับความเย็นในอากาศแตะจมูก รู้สึกได้ถึงความเย็น มโนไปเองเลยว่า อร่อยแน่นอน และมันก็อร่อยจริงๆ ค่ะ เป็นเค้กที่ไม่หวานเกินไป เป็นซอฟท์เค้ก เนื้อนุ่ม ตรงด้านล่างตัวเค้ก มันเหมือนเป็นคุกกี้บด ทานคำรวมๆ หวานกำลังดี หอมสตรอเบอร์รี่ และเย็นๆ เต็มคำ ชอบมากเลยค่ะ
ไม่รู้ชื่อนะ เป็นซอฟท์เค้กเหมือนกิน ด้านบนเป็นครีม คัสตาร์ด และชิ้นสตรอเบอร์รี่ ดูแล้วอลังการนิดนึงป่ะ อร่อยอีกแล้วค่ะ รู้สึกว่าจะอร่อยกว่าชิ้นแรกนะ เนื้อสตรอเบอร์รี่หวาน แต่ตัวเค้กไม่หวานเท่าไรนะ พอทานพร้อมกัน ก็เลยหวานกำลังดี และที่สำคัญ ไม่ทิ้งลายความหอม และความเย็น คิดว่า ความหอม หวานน้อย และความเย็น เป็นสไตล์ของเค้กญี่ปุ่นแหงๆ เลย
กลับมาที่สวนอูเอโนะกันค่ะ ที่นี่จะใช้เป็นสถานที่ดูดอกซากุระ กิ่งก้านต้นไม้เหล่านี้ คือต้นซากุระ ที่สังเกตดู เห็นแต่ละก้านมันเริ่มขึ้นเป็นตุ่มดอกซากุระแล้ว ถ้าประมาณกลางเม.ย. คงจะบานพอดี เสียดายที่เรามาช่วงปลาย ก.พ. ก็เลยยังไม่เห็น แอบจินตนาการไปล่วงหน้า ที่นี่ต้องสวยมากแน่ๆ ถ้าดอกซากุระบานพร้อมกันหมด
สวนอูเอโนะเปิดอังคาร – อาทิตย์ เวลา 9.00-17.00 น. ปิดวันจันทร์นะ ถ้าจะมาก็อย่ามาวันจันทร์ละ
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง เราก็เดินดูบรรยากาศที่นี่ไปเรื่อยๆ
คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็เหมือนจะมาเดินเล่นกันที่นี่ มีตั้งแต่คนทำงาน ครอบครัว เด็กนักเรียน ส่วนใหญ่ จะมานั่งเล่น พูดคุยกัน
พวกเรากะว่าจะมาถ่าย Photo Corner ที่นี่ก็เลยเริ่มมา set ตัวกันแถวๆ ถนนตรงนี้ แต่ปรากฏว่าต้องมาแก้เนื้อหากันนิดหน่อย
ระหว่างรอพี่เก้ากับพี่ฉิมแก้สคริปกัน เบญก็เลยขอออกมาเก็บบรรยากาศสวนอูเอโนะไว้หน่อยนะ เดินไปเรื่อยๆตรงกลางลานกว้างในสวน เห็นผู้ชายคนนี้แต่งตัวแปลกๆ แถมยังมีอุปกรณ์อะไรเต็มไปหมด
มีเด็กมานั่งดูด้วย อ๋อออ เค้าต้องเป็นคนที่มาเปิดการแสดงแน่ๆ
เค้าก็แสดง show แบบเด็กแนว เหมือนจะเป็นการเล่นมายากลอะไรแบบนี้
จากคนดูกลุ่มเล็กๆ เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดูเค้าสนุกกันใหญ่
คนนี้เค้าคล่องมากเลย หมุนหมวกด้วยขาและมือได้เก่งมาก
และแล้ว show ก็จบลง เบญก็ออกไปเก็บภาพ Life ในอูเอโนะต่อ
ตอนนี้แสงเริ่มสวยละ ระหว่างนี้ พี่เก้ายังทำบทไม่เสร็จก็เลยเดินเล่นต่อ
เดินไปเรื่อยๆ ตรงปลายๆสวนจะมีลานน้ำพุกว้างๆ ก็มีชาวญี่ปุ่นมานั่งเล่นกัน
มีรับวาดรูปเหมือนเป็นการ์ตูนด้วย
หันไปเจอเด็กญี่ปุ่น แก้มแดงมาก น่ารักเว่อร์
เด็กญี่ปุ่นจะแก้มแดงเป็นธรรมชาติของเค้าเลยอ่ะ ชอบจัง
หลังจากถ่ายทำ Photo Corner เรียบร้อย ก็ใกล้ค่ำละ เดี๋ยวขอพาไปหม่ำอาหารเย็นดีกว่า หิวละๆ
ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทานไรดี แต่คงไปที่ตลาดอาเมโยโกดีกว่า น่าจะมีของกินเพียบ
เดินมาหน้าทางเข้าสวน เค้าเปิดไฟประดับตามต้นไม้แล้ว
ถนนหน้าสวนสาธารณะอุเอโนะยามค่ำคืน
เลือกกันไปเลือกกันมา สุดท้ายก็มาเจอร้านกินดาโกะ (Gindaco) ร้านทาโกะยากิชื่อดัง เป็นความตั้งใจของพี่เก้ามากๆ ว่าอยากรู้จังว่ารสชาติที่เรากินกันอยู่เป็นประจำ มันเป็นรสชาติของคนญี่ปุ่นด้วยหรือเปล่า
แผนที่ ร้าน Gindaco ในตลาดอะเมโยโก
พิกัด : 35.709908,139.774388
อยากรู้ก็ต้องลอง ตัดสินใจ เดินเข้าไปเลือกสิ่งที่อยากลองกันเลย
ที่นี่จะมีเมนูพิเศษที่ไม่มีในไทยคือ ขนมปลา ไทยากิ มีหลายไส้เลย อย่างไส้ช็อคโกแลต, สตรอเบอรี่, ถั่วแดง เบญรู้สึกสนใจมาก อยากลองๆ
อีกอันที่พิเศษคือ มียากิโซบะด้วย เค้าก็ผัดร้อนๆ ตาม order เลยนะ น่ากินโฮกๆ
ระหว่างรอ เราก็ยืนดูเค้าปั้นลูกทาโกะ ปั้นได้คล่องมากๆ ไปชิมกันดีกว่า รู้สึกว่า เมนูแรกจะมาแล้ว อ้อ มีสิ่งแตกต่างอย่างแรกกับกินดาโกะในไทยคือ ที่นี่ เค้าให้เราใช้ตะเกียบนะคะ
เมนูที่เราเลือกมา ก็คือเมนูเดียวกันกับที่เราทานเป็นประจำในไทยอ่ะนะ คือ แบบดั้งเดิม กับแบบเทมปุระ
มาดูแบบแรกกันก่อนเลย แบบออริจินอล หรือแบบดั้งเดิมนั่นแหละ รสชาติเหมือนกับของที่ไทยเลยค่ะ กรอบ นุ่ม กำลังดี แต่ที่ดีกว่าคือ เจ้าหนวดหมึกข้างใน ใหญ่กว่ามาก >< ส่วนน้ำจิ้ม ก็เหมือนกันนะ
เมนูนี้ คือที่เป็นทาโกะแบบเทมปุระ ในชุดเค้าก็จะมีน้ำจิ้มเทมปุระอยู่ (ก็ถึงได้เรียกว่าเทมปุระไง ^^) น้ำจิ้มใสๆ พร้อมหัวไชเท้าซอย และบนตัวทาโกะ ก็จะโรยหอมซอยมาเยอะมาก ชอบๆๆๆ ได้อย่างใจจริงๆ รสชาติ ก็พูดเลย เหมือนของไทยค่ะ
ส่วนยากิโซบะ อย่างที่บอกว่าเป็นเมนูที่ไม่มีในไทย ผัดเส้นมาเหนียวนุ่มดีนะ รสก็ไม่เข้มข้นมากนัก แต่โดยรวมก็ชอบละ แต่รู้สึกว่าหมูมันจะติดมันเยอะไปหน่อย
อันสุดท้ายคือ ไทยากิ เป็นขนมแป้งทอดที่มีไส้รสต่างๆ ทำเป็นรูปปลา อันนี้เราเลือกไส้ถั่วแดงมาลองก่อนอันแรก
กัดเข้าไป แป้งกรอบนอกนุ่มใน ตัวแป้งมีรสหวานนิดๆ ส่วนไส้ถั่วแดงก็หวานมัน แต่ไม่หวานมากตามสไตล์ขนมญี่ปุ่นที่จะทำไม่หวานมากอยู่แล้ว อันนี้เบญชอบมาก
เลยขอซื้อมาลองอีกไส้ อันนี้เป็นไส้สตรอเบอร์รี่ พอกัดเข้าไปมันเป็นสตรอเบอร์รี่แซมอยู่ด้านบน ส่วนไส้ที่เยอะๆ ด้านในเป็นคัสตาร์ดครีมอ่ะ อันนี้ไม่ชอบเท่าไหร่ ชอบไส้ถั่วแดงมากกว่า
ข้อสรุปของ กินดาโกะที่ญี่ปุ่น กับที่ไทย ก็ไม่ต่างกันค่ะ แต่ของญี่ปุ่น จะมีเมนูอื่นๆ ด้วย เหมือนกับว่า ใครที่ไม่ได้อยากทานทาโกะ ก็มาทานอย่างอื่นได้ และมีขนมตบท้าย เป็นไทยากิ อะไรอย่างงี้ค่ะ
จบแล้วสำหรับทริปวันที่ 2 ความรู้สึกก็สนุกมาก ได้ทานอาหารที่ชอบ ได้ดูบรรยากาศที่เคยเห็นแต่ในรูป รู้สึกชอบโตเกียวมากขึ้นทุกทีค่ะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้ ทริปวันที่ 3 ค่า ^^/