เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 1
ทริปนี้เป็นการพาเที่ยว ญี่ปุ่น ครั้งแรกของ iLoveToGo พวกเราเองที่ไปกันครั้งนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครมาญี่ปุ่นกันเลยสักคน ถือว่าเป็นมือใหม่ในการเที่ยวเองมากๆ และหลังจากเหล่าญาติ มิตรสหาย ได้รู้ว่า จะไปญี่ปุ่นก็ดีใจแทนกันใหญ่ และได้ฝากความอุ่นใจไว้ให้ด้วยว่า "ญี่ปุ่น...เที่ยวเอง ยากนะ ต้องมีคนรู้ภาษาญี่ปุ่นไปด้วย", "รถไฟฟ้า ญี่ปุ่น ไม่ธรรมดา ไม่ได้นั่งง่ายๆ เหมือนของสิงคโปร์ หรือของไทยนะ"
โอวววว... Chip's gone!!! ทำไงอ่ะ จองตั๋วไปแล้ว ด้วยความเห็นแก่ป้าย SALE !!! ไม่คิดหน้าคิดหลัง จองไปเลยดีกว่า ถูกจุงเบย....
แต่เลือดนักสู้ พลังช้างสาร อย่าง iLoveToGo มีหรือจะยอมแพ้ พวกเราผ่านความลำบากมามากมาย จะลำบากกันอีกสักครั้งจะเป็นไรไป เราต้องรักษามาตรฐาน iLoveToGo ไว้ให้มั่น นั่นคือ Trip iLoveToGo ไม่เหนื่อย ไม่เลิก ไม่ปวดขา ถือว่าไปไม่ถึง มาพิสูจน์กันสักตั้ง ว่ามันยากจริงหรือเปล่า แล้วจะยากสักแค่ไหน พิสูจน์กันเลย
ทริปนี้เราจองตั๋วข้ามปีกันเลยทีเดียว ประมาณว่าจองต้นปีนี้ บินต้นปีหน้า ใช้เวลาทั้งทริป 10 วัน แต่จะไปเสียเวลาตอน Transit เครื่องที่มาเลเซียประมาณ 3 ชม. บวกกับเวลาที่บินไปญี่ปุ่นอีก 5 ชม. ก็เลยกลายเป็นเดินทางไปใช้เวลา 1 วันเต็ม และวันกลับก็อีก 1 วันเต็มเช่นเดียวกัน เลยรวมๆ แล้วได้อยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ก็ประมาณ 8 วันค่ะ
สรุปค่าใช้จ่ายทริปเที่ยวญี่ปุ่น 8 วัน คิดต่อคนนะจ้ะ
1. ค่าตั๋วเครื่องบิน = 13,750 บาท
(จองตั้งแต่ ม.ค.55 ตอนนั้นมันเป็นโปรบินไปญี่ปุ่น 6,000 บาท ไม่รวมภาษีสนามบิน+ค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม เราโหลดกระเป๋ากัน 2 คน คนละ 20 กก. ขาไปและกลับ พอหารเฉลี่ยกันก็ตกคนละ 13,750 ค่ะ)
2. ค่าโรงแรมต่อคน (คนละ 1,250 x 7 คืน) = 8,750 บาท
3. ค่าใช้จ่ายระหว่างทริป 22,000 บาท (ไม่รวม pocket moneyนะ)
สรุปเที่ยวทั้งหมด 8 วัน คนละ 44,500 บาท
ทริปนี้จะมีความโหดหินอีกอย่างคือ เราจะต้องไปนอนที่สนามบิน (Tokyo International Airport) ด้วย เพราะเครื่องจะลงที่ฮาเนดะ (Haneda) ตอน 4 ทุ่ม ซึ่งรถไฟที่จะพาเราเข้าเมืองจะหมดตอนเที่ยงคืน ด้วยความที่เรามาครั้งแรก คิดว่ามีโอกาสสูงมากที่เราจะขึ้นรถไฟผิด ไอ้ครั้นจะเสี่ยงขึ้นรถไฟไปแล้วถ้าเกิดขึ้นผิดตอนช่วงรถไฟฟ้าปิดให้บริการพอดี เราอาจจะต้องนอนกันที่สถานีรถไฟฟ้าแทน ซึ่งน่าจะไม่สบายเท่ากับนอนที่สนามบินนะ พวกเราเลยตัดสินใจ เอาฟร่ะ นอนที่สนามบินฮาเนดะนี่ละ... คนพเนจร นอนสนามบิน
แล้วพวกเราก็มาเข้าแถวเช็คอินกันที่ดอนเมือง ที่มาดอนเมืองเพราะเราบิน Air Asia กันอีกแล้ว จองตอนแรกนึกว่าจะได้มาสุวรรณภูมิ แต่เค้าย้ายสนามบินกันพอดีเลยต้องเปลี่ยนมาดอนเมืองแทน สังเกตว่าคนเยอะมากๆๆๆๆ การจราจรติดขัดสุดๆ มโนไปเองว่า การที่คนเยอะขนาดนี้ น่าจะเพราะเป็น Low Cost ราคาถูก ใครๆ ก็บินได้ ง่ายจัง ซึ่งคนที่ไม่เคยเดินทางมาก่อน ต้องตีเวลาเผื่อคิวยาวด้วยนะคะ บางที ก็ไปล่วงหน้า 2 ชม. อาจจะไม่ทันด้วยซ้ำ สำหรับบางเทศกาล ที่มีคนใช้บริการกันเยอะๆ น่ะ
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณตี 5 ยังคงง่วงกันอยู่อ่ะนะ แต่พวกเราก็ยังสู้ค่ะ สังเกตตาสิ พริ้มไปป่ะ ^_^
น้าเล็กยังอุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตี 3 มารับพวกเราที่บ้านตอนตี 4 และต้องไปทำงานต่อเลย สังเกตว่าหน้าตายังไม่ค่อยตื่นดีนัก น้านี่ช่างน้ำใจงามจริงจิ๊งงง นอกจากจะน้ำใจงามแล้ว น้าก็จะมีของแถมให้พวกเราเสมอ Event พิเศษๆ อย่างตอนไปสิงคโปร์ ก็เกือบจะตกเครื่อง (เกี่ยวกับน้ามั้ยเนี่ย 555+) แต่พวกเรายังรักน้าเล็กที่ซู๊ดดดด จุ๊บุ<
"ฉิม" ไดเร็คเตอร์ของเราก็พร้อมจะลุย (ภาพนี้คือพยายามทำคอตั้งสุดฤทธิ์ และภาพหลังจากนี้คือคอพับไปเรียบร้อย 555)
แม่ก็ตามมาดูแลพวกเราด้วย แม่ก็พร้อมจะไปลุยญี่ปุ่นกับทีม iLoveToGo แม่ยังไม่เข็ดกับพวกเด็กสร้างบ้านอย่างพวกเรา พาไปลำบาก แต่ก็ยังไป เพราะแม่มีเลือดนักสู้ อย่างชาว iLoveToGo อยู่เต็มตัวเลยค่า (อิอิ แต่คราวนี้แม่ไม่ต้องวิ่งเหมือนทริปสิงคโปร์แล้วน๊า)
เครื่องออกตอน 7.00 น. บินไปลง กัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) ก่อน เพื่อไปรอ Transit เครื่อง ท้องฟ้าสีสันไม่ธรรมดา ขอเก็บภาพนิดนุง
เราแค่มาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ ก็เลยมาอยู่ในส่วนของอาคารผู้โดยสารที่รอเปลี่ยนเครื่อง (Connecting Flight) โดยเฉพาะ รอประมาณ 3 ชม. แต่เราไม่ต้องยุ่งกับกระเป๋าเลย ทาง Air Asia เค้าก็จะขนย้ายกระเป๋าให้เราเลย เพราะเป็น Flight แบบ Fly – Thru ตอนนี้พวกเราก็รอๆๆ และรอ
มีเวลาตั้งเยอะ มาเดินเล่นดูสนามบินกัวลาลัมเปอร์กันดีกว่า เอาเฉพาะส่วนสำหรับผู้โดยสารมาเปลี่ยนเครื่องแล้วกันเนอะ จะได้เดินหาอะไรกินด้วย อิอิ เรื่องกินเรื่องใหญ่อ่ะ ดังนั้น เราจึงแลกเงิน ริงกิต ไว้ (Malaysian Ringgit หรือตัวย่อ MYR) ไว้จำนวนนึงเอาไว้ซื้อขนม กะน้ำนิดๆ หน่อยๆ ที่นี่ และไว้ใช้ซื้ออาหารบนเครื่องด้วย
ไปเดินสำรวจชั้น 2 กันดีกว่า ขึ้นบันไดเลื่อนมาปุ๊บก็เจอร้านขนมหวาน และเยลลี่ อ๊างงง เลยพุ่งตัวเข้าไปอย่างเร็ว โดยเฉพาะไดเร็คเตอร์ ที่ขอบเยลลี่เป็นชีวิตจิตใจ ก็มีติดไม้ติดมือออกมาด้วย
เค้าก็จะให้ตักแบ่งใส่ถุงและก็ไปชั่งน้ำหนัก อันนี้เป็นช็อกโกแลตคล้าย M&M แต่ไม่ได้ซื้อมา
“มีอะไรน่าอร่อยบ้างนะ แอร๊ยยย”
พี่เก้าอยู่ไหนว๊า ตะกี้เห็นแว๊บๆ หันไปอีกทีก็ อ้าวววว กำลังชิมหนมอยู่หน่ะ
ซื้อมาหลายถุงมาก แต่อันที่เบญประทับใจสุดก็เยลลี่สตรอเบอรี่นี่ละ หอมสตรอเบอรี่จัง
อันนี้ทำเป็นรูปหนอน อร่อยไม่แพ้กัน แต่ดูแม่หยิบหยั่งกะหนอนจริงๆแหน่ะ
กินเยลลี่ก็แล้ว มันก็ยังไม่ถึงเวลาขึ้นเครื่องซะที เลยมองหาของหนักกันเลยดีกว่า หันไปเจอร้านนี้เป็นร้านโรตี เห็นพวกแอร์มาซื้อกันเยอะเชียว Director เป็นคนตั้งข้อสังเกตว่า พวกแอร์ สจ๊วดของ Air Asia เค้าก็มาที่นี่กันบ่อย แต่เค้าก็เลือกกินร้านนี้ แสดงว่ามันน่าจะอร่อยนะ
ชื่อร้าน Hot & Roll
เข้าไปสั่งกันเลยดีกว่า เราก็สั่งกะสาวมาเลย์คนนี้ละ หน้าตาไม่ค่อยรับแขกเท่าไรง่ะ สั่งไปก็กลัวไป กลัวพูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวจะโดนตะหลิวเฉาะเอา ><
ได้มาแล้ววว อันนี้เป็น Highlight ของร้านนี้เลย “โรตีเนื้อ” รสชาติเค็มๆ หอมเนื้อ และมีกลิ่นพริกไทยแรงๆ ตามสไตล์อาหารแขก อันนี้อร่อยมากกกก ตอนขากลับก็ยังมาโดนอีกรอบ
ส่วนอันนี้เป็นไส้กรอก ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็พอกินได้นะ ตัวไส้กรอกไม่ค่อยอร่อย
อันนี้เป็นเมนูแกงกะหรี่ไก่ หอมพริกไทยมากๆๆ ถึงเครื่องจริงๆ อันนี้ก็อร่อย แต่ยังสู้โรตีเนื้อไม่ได้นะ สรุปว่า โรตีเนื้ออร่อยสุด ใครที่ชอบทานเนื้อ มาลองสั่งดูนะคะ
อิ่มกันไปมื้อนึงละ ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว ตื่นเต้นมาก ประเทศญี่ปุ่นนี่ เป็นความใฝ่ฝันของพวกเรามาตั้งแต่เริ่มทำเว็บ iLoveToGo.com กันเลยทีเดียว คิดไว้ว่า สักวันต้องไปญี่ปุ่นให้ได้ ถึงมันจะต้องใช้เงินเท่าไร ก็ตาม อยากได้ต้องได้ แอร๊ยยยยย และก็ได้มาสมใจ
เครื่องที่ไปญี่ปุ่นคือ Air Asia X ซึ่งจะเป็นเครื่องใหญ่ของเค้า ที่นั่งก็จะกว้างกว่าตอนขามา
ใช้เวลาบิน (Flight Time) 5 ชม. ไม่ธรรมดา ในความรู้สึก เพราะใจ มันลอยไปถึงญี่ปุ่นนานแล้ว ตอนนี้ น่าจะได้ประมาณ ครึ่งทางแล้วมั้ง ทไวไลท์แล้วล่ะ ฟ้าทไวไลท์ เหนือเมฆแบบนี้ มันสวยแบบที่เราไม่มีโอกาสจะได้เห็นในชีวิตปกตินะ ดูๆ ไปเหมือนเป็นทะเลเมฆเลย ชอบมากๆ อัด ISO ให้มันสุดๆ ไปเลย ยอม!! เพื่อให้ได้ฟ้าสวยๆ (เอาน่า 5D Mark III มันต้องทำหน้าที่ของมันได้ดีสิ ฮื้ออออ)
เราจะไปถึงสนามบินฮาเนดะตอน 22.30 ช่วงหัวค่ำก็เริ่มหิวอีกละ เลยสั่งอาหารบนเครื่องมากินสักหน่อย
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงฮาเนดะจนได้ ตามกำหนดการต้องลงตอน 22.30 เครื่องลงก่อนเวลา 10 นาทีละ ถ่ายรูปกันเป็นที่ระทึกสักหน่อยนะ เอาตั้งแต่เครื่อง Touch Down รู้สึกปราบปลื้มเป็นที่สุด ^_____^ ในใจพองโตว่า ในที่สุด เราก็มาถึงญี่ปุ่นกันแล้ว สิ่งที่รอคอยมาถึงแล้ว แอร์ฯ ประกาศว่า "ขณะนี้ Air Asia ได้นำท่านลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ โตเกียว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว.. บลาๆๆๆ..... เวลาท้องถิ่นขณะนี้ เป็นเวลา 22.10 เร็วกว่า กำหนดการ 20 นาที อุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส.......บลาๆๆๆๆ"
หลังจากนั้น ก็หูอื้อ เฮ้ย 1 องศา นะ 1 องศาาาาา เฮ้ย เราเช็คอุณหภูมิมา มันเอ่อ.... ไม่ขนาดนี้นี่นา คือ พี่เก้าเคยไปนิวซีแลนด์ เจอเข้าไป 4 องศา ก็ปวดกระดูกสุดยิด... นี่ 1 องศา เอ๊ะๆ องศาฟาเรนไฮ รึป่าวววว >< (คิดว่าเป็นฟาเรนไฮ แล้วมันจะอุ่นขึ้นหรือไงย๊าาา)
เอาฟร่ะ คิดว่าคงไม่เท่าไหร่ร๊อก 1 องศาเอ๊ง ยังไม่ติดลบก็ไม่กลัวเฟร้ยยย มีรุ่นพี่ไปรัสเซีย -20 ยังมีชีวิตอยู่ได้เลย แต่ที่ไหนได้ พอเดินมาตามทางเชื่อมเพื่อเข้าในอาคาร เจอลมพัดเข้ามาจิ๊ดเดียวนี่ ร้องจ๊ากกันเลยทีเดียวววว อย่างกะโดนฉีดยา ตอนก่อนลงเครื่อง ก็เห็นเจ้าหน้าที่ตรงงวง ยืนอยู่ตรงปลาย ก่อนงวงจะเชื่อมกับเครื่องบิน ขากางเกงโบกสะบัด หูยยยยย หนาวแทนจริงๆ แต่ก็ได้เห็นความเป็นญี่ปุ่น ณ จุดตรงนี้ล่ะ คือ เจ้าหน้าที่คนนั้น โค้งงงงงง ตามสไตล์ญี่ปุ่น ให้กับเครื่องบิน (แต่เรารู้สึกว่า น่าจะโค้งให้ผู้โดยสารด้วยนะ) รู้สึกได้ถึงคำว่า "ยินดีต้อนรับคร๊าบบบบบบบ ^_^ " (ชู 2 นิ้วด้วยนะ) อยากบอกว่า นี่คือความประทับใจแรก ตั้งแต่แตะเท้าที่ญี่ปุ่น
ตอนนี้เราก็เข้ามาในอาคารเพื่อเดินหาห้องพักของเรา ไม่ใช่ เพื่อเดินหา จุดที่เราจะนอนกันในคืนนี้ ตามที่เบญได้สัญญาไว้กับทุกคนว่า จะพามานอนสนามบินฮาเนดะ สุดหรูกันนะก๊ะ (ชู 2 นิ้ว)
จริงๆ แล้วตอนที่พวกเราผ่านตม. มา เราอยู่ที่ชั้น 2 ค่ะ เป็นจุด Arrival (ผู้สารขาเข้า) รู้สึกว่า ดูๆ แล้วชั้น 2 มันดูสาธารณะ เกินกว่าจะนอนได้ คือ มันจะไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวเท่าไร เพราะดูคนเดินพลุกพล่านค่ะ สุดท้าย พวกเราก็มาที่ชั้น 3 เป็นชั้น Departure รู้สึกว่า ดูๆ แล้วมันยังนอนได้มากกว่า เพราะว่า ดูคนน้อย มีเก้าอี้เยอะ และเห็นเก้าอี้หลายๆ ตัวโดนจับจอง เป็นที่หลับที่นอน กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เราก็หาเก้าอี้เหมาะๆ และก็จัดการวางข้าวของจัดเป็นที่นอนกันเลย
พวกเราได้ที่นอนกันตรงมุมนี้ สภาพของทุกคนเหนื่อยกันเต็มที่แล้ว บอกตรงๆ ว่า ถึงปากจะทำตลกไปว่า โอ๊ย นอนสนามบิน คนพเนจร นอนสนามบิน ดูไม่ค่อยจะอะไร แต่บอกตรงๆ ว่า คนไม่เคย ไม่รู้สึกชิลแน่นอนค่ะ รู้สึกได้ว่า ทีมพวกเราทุกคน ก็ออกจะกังวลกัน ไม่ได้เกิดความสบายใจ เหมือนเราถึงโรงแรม ที่พักกันแล้ว อ้าาาา ทิ้งตัวดีกว่า ไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ
เดินทางกันมา รวมเวลาบินแล้ว ก็เรียกได้ว่า 1 วันเต็ม ที่พวกเรา ไม่ได้นอนกันอย่างเต็มอิ่ม คือ หลับๆ ตื่นๆ ต่อให้บอกว่า หลับไปบนเครื่อง แต่มันก็ไม่ได้หลับสนิทนะ ก็นั่งหลับอ่ะ มันก็รู้สึกตัวตลอด วูบไปบ้างอะไรบ้าง ใครทีเคยเดินทางลักษณะนี้ คงจะเข้าใจว่า ความรู้สึกมันอึนๆ มึนๆ บวกกับความกังวล และความหนาวระดับนี้ สารภาพว่า มีจิตตกไปบ้างเหมือนกันว่า เฮ้ย จะรอดมั้ยอ่ะ
แต่ด้วยความหรู ของแอร์พอร์ต ก็ช่วยให้เราไม่ได้ถึงกับจิตตกมากนัก อย่างน้อย ห้องน้ำสถานที่ มันก็เจริญหูเจริญตามากๆ
ทำไปทำมา มีเบญนอนหลับอยู่คนเดียว (เลยโดนแอบถ่ายมา -“-) ส่วนคนอื่นบอกว่านอนไม่หลับอ่ะ และตอนนั้นก็หนาวมากๆ นี่ขนาดอยู่ในอาคารนะ ถ้าอยู่ข้างนอกละจะขนาดไหน
จากปากคำของไดเร็คเตอร์พี่ฉิม เล่าว่าหยิบนาฬิกามาดู ตอนนี้ตี 3 มันหนาววววจนทนไม่ไหว นอนก็ไม่หลับ เลยเดินไปถ่ายรูปในฮาเนดะเล่นซะเลย ลองมาดูกันซิว่านักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เค้าใช้ชีวิตกันเยี่ยงไรในสนามบินฮาเนดะแห่งนี้..
เดินไปเรื่อยๆ ก็เจอ Shop Hello Kitty ด้วย อันนี้รับรองว่าของแท้แน่นอน แต่ตอนนี้ร้านมันปิดอ่ะ (อืมมม ก็แหงหล่ะ นี่มันตี 3 นะเฟร้ยย)
ส่วนอันนี้เป็น Shop ขายพวก character น่ารักๆของญี่ปุ่น อย่าง หมีริระคุมะ
นี่ร้านอะไรก็ไม่รู้ เหมือนเป็นร้านเกมแข่งรถเลย (มั้ง)
ระหว่างทาง เราก็พบสภาพที่พักอาศัยของนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆ บ้างก็นอนใต้ต้นไม้
บ้างก็เลือกนอนในเมือง สภาพศพ นอนกันอย่างเกลื่อนกลาด
ที่ฮาเนดะต่อจากชั้น Departure ถ้าเราขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้น เราจะเจอโซน “เอโดะทาวน์” ที่นี่จะจัดแต่งร้านอาหาร Theme สมัยเอโดะ เป็นญี่ปุ่นโบราณๆ เวลาตี 3 นี่ร้านปิดหมด แต่เค้าก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปได้
ในนี้มีร้านอาหารญี่ปุ่นเพียบเรย แต่ปิด
เพิ่งรู้ว่าที่เอโดะทาวน์เนี่ยนอนได้ด้วย แถมอุ่นกว่าชั้น 3 ที่เรานอนอีกตะหาก ถ้ากระเป๋าไม่เยอะนะ มานอนที่นี่ก็ได้ เวิร์คมากๆ
ดินๆไปก็เจอชั้นตุ๊กตาวางประดับไว้ เพราะช่วงที่เราไปเป็นเทศกาลฮินะมัทซึริ (เทศกาลเด็กผู้หญิง) พอดี เป็นธรรมเนียมญี่ปุ่นที่จะเอาตุ๊กตามาประดับบนชั้นแบบนี้ เราเลยมีโอกาสได้เห็นกัน ปกติเคยเห็นแต่ในการ์ตูนอิคคิวซัง หรือโดราเอม่อน
เป็นนักท่องเที่ยวหนิ ก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักหน่อยละ
ขึ้นไปอีกชั้นนึง เหนือเอโดะทาวน์ไปอีก จะเป็นโซนที่ดูเป็น Theme อวกาศ
ร้านต่างๆจะดูออกแนวดีไซน์ไปทางสีเงินๆ เงาๆ
มี UFO ด้วย
ชั้นอวกาศก็ยังทำเป็นที่นอนได้อยู่ดี ดูสิ มีอยู่ 1 ศพ อยู่ตรงนั้น ผู้หญิงคนที่เดินนี้ เค้าเป็นเพื่อนกันนะ หลังจากภาพนี้ นางก็ไปนอนขดตัว ข้างๆ เพื่อนของนางค่ะ
สรุปว่าที่ฮาเนดะ ก็นอนได้ในหลายๆที่หล่ะ เลือกกันตามสบาย ทุกส่วนที่ดูแล้วจะนอนได้ ไม่ใช่พื้นทางเดิน ขวางทางชาวบ้าน เป็นใช้ได้ ถึงแม้ในร้านค้า ที่ไม่มีประตูก็ ก็เข้าไปนอนได้ ถ้าเค้ามีเก้าอี้ โต๊ะ ว่างๆ แถมชั้น 4 ที่เป็นเอโดะ อ่ะ ไดเร็คเตอร์บอกว่า มันอุ่นกว่าชั้น 3 ที่เรานอนกันอีก แถมยามในสนามบิน เอ็นดูนักท่องเที่ยว ก็เดินตรวจตราตลอด ให้ความอบอุ่นว่า ไม่อันตรายน๊า ยังมีช้านอยู่ท๊างคนนน แถมยังมีน้ำให้ดื่ม มีห้องน้ำอย่างสะอาดให้เข้า เรียกว่าพร้อมและปลอดภัยใช้ได้เลย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ของ iLove ที่มาผจญภัยนอนสนามบินกันเป็นครั้งแรก
ประมาณ 6.00 น. พวกเราก็นั่งรถไฟฟ้า Tokyo Subway Toei Line (โทเอ ลายน์) สาย Asakusa (สีชมพู) ออกจากสนามบินฮาเนดะ มาจนถึงสถานี A14 และมาเปลี่ยนเป็น Tokyo Metro Line สาย Hibiya Line (สีเทา) ซึ่งจะตรงกับสถานี H13 และวิ่งต่อไปอีก 1 สถานี ไปลง H14 Kodemmacho ก็จะถึงโรงแรมที่เราจองไว้
จะบอกไว้ก่อนว่า ออกจากสนามบิน รถไฟฟ้า มันจะวิ่งไป จอดไปตามสถานีที่มันไม่ได้ปรากฎอยู่ในแผนที่ คนที่มาครั้งแรกอย่างพวกเรา ก็อาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย ถูกสายเปล่าอ่ะ เฮ้ย ถ้าผิดนี่ ชั้นรับไม่ได้นะ แอร๊ยยยยย หนาว และหิว และ อดนอน แต่ไม่ต้องตกใจไป นั่งจ้องไปเรื่อย ก็จะเริ่มเข้าสถานีในแผนที่เอง
เราออกทางออกที่ 3 แล้วเลี้ยวขวาไปนิดเดียวจะเจอสี่แยก จากนั้นก็ตรงไปตามลูกศร คือกว่าจะรู้เดียงสาขนาดนี้ ไม่ใช่ง่ายอีกแล้วครับท่าน คือ ตอนที่เราออกจากสถานีรถไฟฟ้า เราไม่ได้ออกถูกแต่แรกอ่ะ นึกออกป่ะ คือออกมาแล้ว ก็เดินหาอีกว่า ทิศของโรงแรมเรา มันต้องมุ่งหน้าไปทางไหน คือถ้าสภาพอากาศปกติ การเดินหาทางแค่นี้ ไม่ระคายเคืองผิวเท้าแต่อย่างใด แต่นี่ 1 องศา จะให้เดินหาทางไปโรงแรมอีก เราก็เอาวะ เดินหา เดี๋ยวก็เจอ เดินไป เดินมา เดินไป เดินมา เฮ้ย...... ไม่ไหวแบ๊วววววว มันหนาวมากๆ ชาไปหมดทั้งหน้า ถ้าจะทำตาสองชั้น เหลาคาง เสริมจมูก ก็ทำได้เลยตอนนี้ เพราะใบหน้าดิฉัน หมดความรู้สึกไปแล้ว ชา เหมือนโดนตบมาหมาดๆ 10 ครั้ง แต่ก็อดทน คิดว่า ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้แล้ว ก็สู้ต่อไป เดินไปดู Directory ที่อยู่ข้างถนน ประกอบกการตัดสินใจ ก็ทำให้เราเจอโรงแรมจนได้ ^____^ เก่งจุงเบยยยยยย
แผนที่ โรงแรม Horidome Villa Hotel
พิกัด : 35.689117, 139.779851
รร.ที่เราจองไว้ชื่อ Hotel Horidome Villa เป็นรร.ที่ อยู่ในย่านออฟฟิศ และใกล้กับร้าน โยชิโนย่า มากๆ ก่อนถึงรร. เราก็แวะเข้ามาหม่ำกันก่อนดีกว่า ก่อนกินขอถ่ายรูปกะป้ายหน่อยนึง สังเกตดูตัวพี่เก้าสิ หนามาก ใส่อะไรไว้บ้าง คิดว่า น่าจะเป็นเสื้อประมาณ 40 ตัว Legging อีก 70 ตัวแน่ๆ ><
เรามาจัดโยชิโนย่าเลย เพราะ หิว... ใช่ นั่นก็เหตุผลนึง แต่อีกเหตุผลนึงคือ อยากรู้ว่ามันต่างกับที่ไทยยังไง สิ่งแรกที่เห็นก็คือเมนูมีเยอะกว่า แอบเห็นว่า มันมีข้าวแกงกะหรี่ด้วย มาเริ่มสั่งกันเลยดีกว่า ตอนที่สั่ง ก็สั่งภาษาอังกฤษ พนักงาน เค้าก็รับออร์เดอร์เป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ได้อย่างที่สั่งนะ อิอิ
ชามแรกขอ ข้าวหน้าเนื้อแบบ original เลยละกัน เสิร์ฟพร้อมซุปมิโสะ และกิมจิ วัดกันเลยว่าจะต่างกะสาขาที่ไทยยังไง เค้าก็ยกมาเสิร์ฟเป็นถาดแบบนี้ แต่น้ำที่ให้เป็นชาร้อน (ไม่มีชาเย็นให้เหมือนเมืองไทยหรอกนะ เพราะตอนนี้อุณหภูมิ 1 องศา ชาเขียวเย็น ก็คงไม่ไหวแล้ว ขอร้อนๆ หน่อย) ในความรู้สึกเรา สิ่งที่ต่างกันคือข้าว
ข้าวเค้าจะเม็ดอ้วน และหยุ่นๆ นุ่มๆ กว่า และให้ข้าวเยอะกว่านะ
พอคลุกๆ น้ำที่ได้จากการตุ๋นเนื้อ ผสมกับข้าว ทานเข้าไปพร้อมกับเนื้อ รสชาติมันเข้มข้นมาก
รู้สึกได้เลยว่ามันอร่อยกว่าสาขาที่ไทย ไม่รู้เพราะอะไรชัดเจน แต่มันรู้สึกได้ถึงความหอม เต็มคำ เข้มข้นค่ะ
เมนูต่อมาเป็น ข้าวหน้าแกงกะหรี่เนื้อ เสิร์ฟพร้อมซุปมิโสะ กิมจิ และสลัด เป็นเมนูที่สาขาที่ไทยไม่มีนะ
ชามนี้รสเข้มข้น เนื้อนุ่มๆ เป็นเนื้อที่เค้าทำข้าวหน้าเนื้ออ่ะแหละ แต่ชุดนี้ เอามาราดน้ำแกงกะหรี่น่ะ รสชาติคล้ายกับ Coco Ichibanya นะ แต่รู้สึกว่ามันจะหอมกว่า ในชุดจะมีกิมจิด้วย
กิมจิที่รสชาติจะไม่ค่อยออกเปรี้ยวมากนัก จะแตกต่างจากกิมจิ ที่ไทยส่วนใหญ่ จะออกเปรี้ยวเยอะ ซึ่งพี่เก้าที่เป็นคนไม่ชอบกินกิมจิ แต่มากินของที่นี่ ก็กินใหญ่เลย
บอกว่าชอบกิมจิที่ญี่ปุ่นมาก
ส่วนอันนี้เป็น ข้าวหน้าเนื้อย่าง เสิร์ฟพร้อมซุปมิโสะ และสลัดค่ะ เนื้อจะเป็นแผ่นๆ หนากว่า เนื้อในข้าวหน้าเนื้อ จุดเด่นของเมนูนี้ จะมีความหอมแบบย่างๆ พร้อมกินน้ำมันงา นิดหน่อย ไม่รุนแรงมาก ตอนแรกเห็นหน้าตา นึกว่า เนื้ออาจจะเหนียวก็ได้ แต่พอทานแล้วไม่เหนียวเลย อร่อยใช้ได้ค่ะ
สรุปว่า โยชิโนย่า ณ โตเกียว ของเค้าถึงเครื่องจริงๆ ในความรู้สึกของเรา ก็เคยได้ยินมาว่า ไม่ได้ต่างจากของไทย ซึ่งในความเห็นคิดว่า มันก็คงแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้โยชิโนย่า อย่างไดเร็คเตอร์ ก็บอกเลยว่า ของที่นี่ เข้มข้นกว่าค่ะ และในตอนเช้าช่วงเวลาเร่งด่วนก็มีคนญี่ปุ่นมานั่งทานกันเต็มร้านเลยค่ะ
และอีกหนึ่งความประทับใจที่เบญแอบเห็นจากคนญี่ปุ่นคือ ที่โต๊ะอาหารทุกโต๊ะ จะมีขวดพริกป่นวางอยู่ทุกโต๊ะ มีลูกค้าคนญี่ปุ่นที่นั่งทานข้าวหน้าเนื้อ หลังจากที่คิดเงิน เตรียมตัวจะกลับ เค้าก็บอกพนักงาน แปลจากอาการแล้วได้ประมาณว่า... "ขอโทษครับ พริกป่นขวดนี้ จะหมดแล้วนะครับ" พนักงานร้านก็หันมา "อ้อ ขอบคุณมากค่า" บอกตรงๆ ว่า ไม่เคยเห็นแบบนี้ในไทยค่ะ จะเห็นก็แค่ว่า ฉันจะกินพริกอันนี้หมดแล้ว ขอขวดใหม่หน่อยอะไรแบบนี้ และเราก็คิดกันไปแบบอัตโนมัติว่า เป็นหน้าที่ ที่เค้าต้องดูแลเอง แต่คนญี่ปุ่นเค้ามีจิตสำนึกว่า ควรจะช่วยเหลือกัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงการมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมนะว่าป่ะ รู้สึกถูกใจมาก เอาไป 5 ดาวค่ะ (5 ดาวคนญี่ปุ่นคนนั้นนะ 555+)
จากร้านโยชิโนย่าตะกี้ เดินมาอีกสัก 15 ก้าว ก็มาถึงรร. Hotel Horidome Villa (เราเรียกว่า โฮริโดเมะ วิลล่า) ใกล้กะโยชิโนย่าม๊ากกก และเดินถัดไปอีกสัก 10 ก้าว ก็จะมี Family Mart อยู่ด้วย ทำให้รู้สึกว่าโรงแรมนี้สะดวกมากๆ ใกล้ MRT และ Minimart จริงๆ
โรงแรมนี้ เป็น Business Hotel เล็กๆ อยู่ในย่านออฟฟิส คนทำงานอย่าง Hodemmacho ถ้าเราตื่นเช้าวันธรรมดา เราจะเห็นคนญี่ปุ่น ใส่ชุดไปทำงานเดินกันอย่างเร่งรีบ ก็เลยทำให้เราคิดว่า อ้อ คงเป็นย่างออฟฟิสสำนักงานสินะ
มี Front อยู่กะละ 2 คน บางทีก็ 1 คน มีบริการ Internet ให้ด้วย แต่รู้สึกว่าจะต้องเสียตังค์นะ เออ มีภาษาไทยด้วยแฮะ สงสัยว่าจะมีคนไทยมาพักเยอะเหมือนกัน เพราะรอบที่เราไปก็เจอคนไทยด้วยละ แต่ที่นี่เค้ามี Wifi Free ด้วยนะ และสัญญาณดีมากเลย เบญใช้เข้าเว็บ เล่นเฮเดย์ โทรผ่าน Line สัญญาณก็ชัดมากๆ เหมือนโทรคุยอยู่ที่ไทยเลยอ่ะ
เดินอ้อมมาอีกด้าน เค้าจะมีหนังสือท่องเที่ยวแจกฟรีด้วยนะ เป็นภาษาอังกฤษ ถ้านึกไรไม่ออก ไม่ได้วางแผนเที่ยวมาก็มาหยิบไปอ่านได้
มีลิฟท์ 2 ตัว และตรง zone หน้าลิฟต์จะมีชา กาแฟ และที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ ไว้ให้แขกมานั่งกินกาแฟ นอาหารเช้า หรือเอาโน้ตบุ๊คมาเปิดนั่งทำงานเร่งด่วน กันที่นี่ได้
ที่นี่ไม่มีบริการอาหารเช้านะ มีแต่บริการกาแฟฟรี ให้บริการตั้งแต่ หกโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน
พวกเรามาถึงที่นี่ตอนประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งยังไม่ถึงเวลา check in (เค้าให้เช็คอินตอน 14.00 และเช็คเอ้าท์ตอน 10.00) ก็เลยมาพักกินกาแฟ ทำให้ตาสว่างกันหน่อย เพราะค่อนข้างอดนอนพอสมควร แต่ด้วยตารางเวลาที่ set กันมาจากกทม. ทำให้เราต้องเดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะถึงเวลาเช็คอินแล้ว ก็ยังเข้าไปนอนไม่ได้นะจ๊ะ ต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อน
แม่บอกว่าชอบโรงแรมนี้ มันเล็กกะทัดรัดดี สิ่งอำนวยความสะดวกครบ และคนไม่พลุกพล่าน แถมรู้สึกได้ใกล้ชิดกะ Front ด้วย รู้สึกอบอุ่น ถ้าเจอปัญหาไรก็ถาม Front ได้เลย เค้าดูเต็มใจช่วยเหลือเต็มที่ จริงๆ อันนี้ก็เป็นลักษณะที่เราเห็นได้ชัดเจน จากคนญี่ปุ่น เค้าพร้อมจะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจริงๆ คือดูกระตือรือล้นมาก ฟังเราพูดออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็ดูพยายามมากๆ ทำให้เรารู้สึกไม่โดดเดี่ยว
ด้วยความที่ยังเช็คอินไม่ได้ เราเลยขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน Front เค้าเลยเอาแห มาคลุมกระเป๋าเรา กันกระเป๋าวิ่งหนี 555
จากนั้นเราก็ไปถาม Front ว่ามีซิมส่งมาถึงเบญรึป่าว เค้าก็หยิบซองอันนี้มาให้ เย้ๆ ได้ซิมมาแล้ว มาลองใส่กันเลยดีกว่า
ซิมที่ซื้อมาอันนี้เป็นซิมแบบธรรมดา ตอนนั้นเค้ายังไม่มี Nano Sim ก็เลยซื้อแบบนี้มา และก็เอามาใส่กะเครื่อง Samsung Tab 7.7 เพราะแบตมันอึดที่สุดละ
แกะซองออกมาแล้ว
ด้านในจะมีแผ่นซิมอยู่ เราก็แกะออกมาได้เลย
หน้าตา Sim Package ของเราเป็นแบบใช้โหลดข้อมูลได้ไม่เกิน 1 GB ซึ่งเราจะลองดูซิว่ามันจะพอมั้ยกะการอยู่ญี่ปุ่น 8 วัน ใช้ net ทุกวัน ไว้อัพรูปขึ้น Facebook, Chat Line และโทรผ่าน Line วิธีใช้ ก็ทำตาม Instruction ที่เค้าให้มาได้เลย (มีอยู่ในวีดีโอด้วยนะ อยู่นาทีที่ 0:32:10) รับรองไม่ยากค่ะ
เอาหล่ะ ยังเหลือเวลาอีกหลาย ชม. กว่าจะเช็คอินได้ งั้นเราออกไปเดินเที่ยวโตเกียวกันก่อนดีกว่า จุดหมายแรกของเราก็คือไปชิบูย่า อย่างที่บอกว่า อดนอนมาแบบนี้ เราต้องหลอกล่อชาวคณะด้วยการช็อปปิ้ง ไปดูเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า กันดีกว่า จะได้ตาสว่าง 555 ถ้าไปวัดมีหวังได้หลับในวัดแน่ เราจะใช้ MRT และอย่างที่บอก เดินติ๊ดเดียว ก็ถึง MRT แล้ว แต่อากาศหนาวระดับเทพขนาดนี้ ก็ยังรู้สึกเดินไกล เห็นแดดแบบนี้ อย่างคิดว่าอุ่นแล้วนะ หนาวโฮกอ่ะ
ย่านที่ รร.นี้อยู่เนี่ย อย่างที่บอกไปแล้วว่า มันเป็นย่านที่เป็นที่ทำงานนะ เราก็จะเห็นคนใส่สูทเดินขึ้นตึกมาทำงานช่วงสัก 8-9 โมง บางคนก็ขี่จักรยานมาทำงาน ที่ญี่ปุ่นนี่ขี่จักรยานกันเยอะมากๆเลย และเท่าที่ดูช่วงเวลาเร่งด่วน ก็ไม่เห็นรถจะติดเหมือนบ้านเราเลยแฮะ ดูสิถนนโล่งม๊ากกก
มาถึง MRT แล้ว เราตั้งต้นจาก H14 ไป ไปลงที่สถานี H08 จากนั้นก็เปลี่ยนเป็น Ginza Line ตั้งต้นจาก G09 ไปลง G01 สถานี Shibuya เราก็มาหยอดเหรียญกันตรงนี้เพื่อซื้อตั๋ว
เห็น Ad โฆษณาอันนี้ รู้สึกว่าหน้าเค้าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น (ก็แหงล่ะ อยู่ญี่ปุ่นเน่ อิอิ)
และแล้วก็มาถึงสถานีชิบูย่าละ อันนี้ถ่ายผ่านกระจกมาที่ 5 แยกชิบูย่าชื่อดัง จุดที่มีคนญี่ปุ่นข้ามถนนกันเยอะๆ ก็ตรงนี้ละ แต่มีตากล้องเคยแนะนำว่า ถ้าจะถ่าย 5 แยกตรงนี้ให้ได้มุมสวยสุด ต้องไปถ่ายที่ร้าน Starbuck ชั้น 2 ของร้านซีดี ทสึทายะ มองลงไปจะเห็น 5 แยกพอดี แต่เค้าว่าคนเยอะมาก และหาที่นั่งยากโฮก มองจากตรงนี้ไปก็จะเห็นร้าน starbuck อยู่ตรงมุมซ้ายไง
วันนี้ เป็นวันจันทร์ แต่ก็ดูคนไม่เยอะเท่าไหร่นะ อาจจะเป็นเพราะว่า มันก็สายแล้ว คนญี่ปุ่นบางส่วนคงขึ้นตึกไปทำงานเรียบร้อยแล้วล่ะ
แอบบ่นนิดนึง ใจนึงอยากออกไปหามุมถ่ายรูปนะ แต่อีกใจ ประมาณ 80% มันไม่ค่อยสู้เท่าไร เพราะรู้สึก อยู่ในอาคารแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ไม่อยากออกไปเจออากาศหนาวเบยยยยย ><
หันหลังมาถ่ายบ้าง ที่นี่มีภาพวาดสไตล์ญี่ปุ่นๆ ด้วย
และแล้ว พวกเราก็ออกมาจากสถานี MRT พุ่งตรงมาที่ 5 แยกชิบูย่าก่อนเลย ถึงจะแอบบ่น แต่ก็ต้องสู้ค่ะ
ชิบูย่า เป็นจุดรวมความทันสมัยของญี่ปุ่น ที่กินเที่ยวช้อปรวมตรงนี้ แถมเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์หมาฮะจิโคผู้ซื่อสัตย์ด้วย (อยู่หน้าสถานีชิบุย่า) แต่พวกเราไม่ได้แวะไปถ่ายรูปอ่ะ
ที่นี่ห้างเพียบเลย ไม่รู้ว่าจะเข้าห้างไรดี ก็ลองเดินไปเรื่อยๆ เดินไปเจอรถตู้ญี่ปุ่น น่ารักมากเลย ล้อเล็กๆ
ชาวญี่ปุ่นแถวนี้แต่งตัวกันแฟชั่นมากกว่าแถวที่พักเราเยอะเลย 555 และมีความสงสัยอย่างมาก อากาศหนาวระดับนี้ ทำไมใส่แค่ถุงน่อง ก็เดินต้านลมได้หน้าตาเฉยหนอ.... หรือเพราะเค้าชินกับสภาพอากาศ หนาวแค่นี้ชิลมากสำหรับเค้า
ตอนนี้ก็พาชมย่านชิบูย่าไปเรื่อยๆ มันก็จะมีห้าง มีร้านอาหารเยอะแยะ
ตึกเค้าก็จะดีไซน์สวยๆ ที่สำคัญคือถนนเค้าสะอาดมากๆ ไม่เจอขยะสักชิ้น
นี่อากาศ 1 องศานะ แต่คนญี่ปุ่นที่นี่ก็ยังเดินกันชิวๆ สบายๆ ในขณะที่กลุ่มไทยอย่างเรา หน้าชา ปากชากันหมดแว้ววว
เจอแท็กซี่ญี่ปุ่นด้วย สังเกตว่าแท็กซี่ที่นี่รถมันจะไม่ได้ใหม่มาก
เดินไปเจอ Tower Records ด้วย ยังมีอยู่อีกหรออ
ที่นี่เวลาเค้าจะโปรโมทอัลบั้ม หรือนักร้อง เค้าจะขับรถเหมือนเป็นรถบรรทุก และก็มีโปสเตอร์แบบนี้อ่ะ
ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายๆ เราก็จะเห็นนักเรียนญี่ปุ่นมาเดินที่นี่เยอะเหมือนกัน แต่งตัวน่ารักๆตามสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นที่เคยอ่านเลย
ร้านแถวชิบูย่า ส่วนใหญ่ร้านอาหารก็จะเป็นร้านแต่งสวยๆ ฮิปๆ มารวมกัน อยู่ในซอกซอยเล็กๆ
เดินดูถนน ดูร้าน ดูคนญี่ปุ่น มันก็เพลินๆดีนะ แต่ถ้าถามว่าชอบรึป่าว มันอาจจะไม่ใช่แนวพวกเรา เพราะพวกเราชอบเดินตลาด 555
เดินมาได้ 2-3 ชม. เริ่มหิวแล้ววว ร้านอาหารเย็นของพวกเราวันนี้เราเลือกทานราเม็งที่ชิบูย่านี่ละ ชื่อว่า Kamukura ramen เป็นร้านที่อยู่ในหนังสือแนะนำ เดินหาไม่ยาก
แผนที่ Kamakura Ramen (Shibuya)
พิกัด : 35.660648, 139.698331
ที่หน้าร้านมีเมนูให้เลือกเพียบเลย และก็มี Topping เสริมด้วย
ก่อนจะเข้าไปกิน เราก็ต้องหยอดเหรียญซื้อตั๋วก่อน ประมาณว่าเลือกก่อนว่าจะสั่งอะไร พอได้ตั๋วแล้วเราก็แค่เอาตั๋วยื่นให้เชฟ อย่างถ้าเราจะสั่งเมนู สึเคเม็น และเพิ่ม Topping เป็นไข่ เราก็กดเสียบแบงค์เข้าไป (ตอนที่เราทำคือ เราเสียบแบงค์หมื่นเข้าไป เพราะแบงค์ย่อยเรายังน้อย เพิ่งมาถึงเอง ยังไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย) เสร็จแล้ว กดเลือกเมนูสึเคเม็นที่เราต้องการ และกดเลือก Topping ไข่ ถ้าเอาแค่นี้ ตู้มันก็จะรวมเงิน และทอนเงินให้เราเสร็จสรรพ เราจะได้ตั๋วมา ก็ถือตั๋วเข้าร้าน ไปเลือกที่นั่ง และยื่นให้เชฟ เค้าก็จะเอามาเสิร์ฟร้อนๆ เลย
อ่ะ พอเราตั๋วมาละ ก็เลยเข้ามาในร้าน อยากบอกว่าร้านแคบมากกกก ตามสไตล์ญี่ปุ่น เรียกว่าเดินสวนกันไม่ได้เลย ข้างหลังที่นั่งจะเป็นที่สำหรับแขวนเสื้อกันหนาว และกระเป๋า เพราะถ้าใส่ตอนนั่งกินมันก็จะเกะกะน่าดู
เชฟขยันขันแข็งกันใหญ่ จะมีเสียงตะโกนต้อนรับลูกค้าอยู่ตลอดเลย
เสิร์ฟน้ำเปล่าฟรีด้วยละ อ่ะ มาดูที่เมนูแรกกัน อันนี้เป็นทสึเคเม็น (Tsukemen) เลือกแบบเส้นเย็นมา เพราะชอบสไตล์เหนียวหนึบ และก็สมใจอยากค่ะ เค้าลวกเส้นมาได้ดีจริงๆ ไม่เละเลย ^^
มาดูที่ตัวซุปบ้าง สีมันจะเข้มๆหน่อย รสชาติน้ำซุปออกเค็มๆ เข้มข้น ตามสไตล์ สึเคเม็น ที่ต้องนำเส้นไปจุ่มเวลาทานนั่นแหล่ะ รู้สึกน้ำซุปหอมดีแฮะ
ส่วนชามนี้เป็นราเม็งผักกาดขาว เหมือนเป็นราเม็ง original ของร้านเค้าเลย น้ำซุปจะใสๆ อันนี้เบญขอเพิ่ม Topping เป็นไข่ยางมะตูม แต่ขอบอกว่าติดใจน้ำซุปมาก เห็นใสๆแบบนี้ แต่ซดแล้วได้รสหวาน คล่องคอมากๆ หลังจากเจอความหนาวข้างนอก แล้วมาซดน้ำแกงร้อนๆ หวานๆแบบนี้มันสุดยอดไปเลย ตัวเนื้อหมู ก็นุ่ม เคี้ยวง่าย ถ้าบอกว่า เมนูนี้เป็น Recommended ก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีนะ
ส่วนชามนี้เป็นเมนูราเม็งอะไรก็จำไม่ได้ แต่ขอบรรยายไปตามภาพ และรสชาติที่ได้ชิมคือ เป็นอีกราเม็งที่น้ำใส ดูน่าทานมากๆ คล้ายกับบะหมี่แนวบะหมี่จีน เสิร์ฟมาพร้อมกับต้นหอมที่เยอะมาก แทบจะเอาไปทำอาหารได้อีกอย่างเลยล่ะ ชามนี้รสชาติจะออกจืดหน่อย แต่หอมน้ำแกงจริงๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ทานรสจัด แต่ถ้าสำหรับพี่เก้าที่ออกติดเค็ม อาจจะรู้สึกมันจืดไปหน่อย แต่แม่บอกว่า อร่อยมากๆ เลย แม่เป็นคนที่ชอบซดน้ำแกงนะ บอกว่า ใช้ได้เลยค่ะ
สรุปรวมๆ แล้ว ราเม็งร้าน Kamakura ถือว่า อร่อยเลย ถ้าใครจะมาทานนะ คนไทยตัวเล็กๆ กระเพาะน้อยๆ อย่างเรา ไม่ควรทานอะไรมาก่อน เพราะอาจจะทานไม่หมด เพราะชามเค้าใหญ่มากกกกกกกกก ไม่ธรรมดาจริงๆ สั่งมา 1 ชาม ทานกันได้ 2 คน แต่เราก็เห็นผู้หญิงญี่ปุ่น ตัวเล็กๆ ผอมๆ หุ่นนางแบบ แต่ทานราเม็งจนหมดชามอ่ะ Amazing มากๆ ประทับใจในกะเพาะอาหารของเธอจริงๆ อิอิ
ก่อนจบวัน ขอพาดูห้องพักก่อน ที่ Horidome ห้องนอนจะเล็กและแคบม๊ากกกก และเตียงส่วนใหญ่ก็จะเป็น double bed แบบนี้ ทางเดินไปประตูห้อง คนเดินสวนกันไม่ได้อ่ะ แคบโฮก แต่ได้คะแนนเต็มเรื่องความสะอาดเลย
ตอนที่เราจอง ได้คืนละ 2,500 บาท มีทุกอย่างให้ครบหมด แชมพู สบู่ เปลี่ยนผ้าปูกะผ้าเช็ดตัวให้ทุกวัน มีไดร์เป่าผม กาต้มน้ำร้อนให้ด้วย ก็เรียกว่าเอาแต่เสื้อผ้ามาอย่างเดียวก็อยู่ได้แล้ว ถ้าขาดเหลือไรจริงๆก็ไปซื้อเพิ่มที่ Minimart ข้างล่างได้สบาย
พามาดูห้องน้ำบ้าง อยากบอกว่าเข้ามาครั้งแรกรู้สึกเหมือนเข้าห้องน้ำในเครื่องบิน เพราะแคบม๊ากกก อีกแระๆ แต่พอใช้ไปนานๆก็เริ่มชิน ที่นี่โถส้วมก็ตามมาตรฐานญี่ปุ่นเลย มีปุ่มกดทุกขั้นตอน มีน้ำร้อนให้อาบ สบู่ แชมพู ครีมนวด ยาสีฟัน แปรงสีฟัน หมวกอาบน้ำ มีพร้อมเลย มีทิชชู่มาเติมให้ตลอด ที่สำคัญ ห้องน้ำเค้าสะอาดนะ รู้สึกว่าถูกใจ รร.นี้จริงๆ
อิ่มอร่อย เหนื่อย อดนอน วันนี้ขอหลับเร็ว นอนพักก่อนนะคะ เจอกันใหม่วันที่ 2 ของทริปเที่ยวโตเกียวของพวกเรา จะไปเจออะไรกันบ้างอีก ต้องติดตาม เจอกันพรุ่งนี้น๊าาาาา Oyasuminasai (Good night) กู๊ดไนท์ค่า