สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

ข้อผิดพลาดของมือใหม่

สินค้า
สถานะสินค้า
ราคา
จำนวน
สินค้าหมดชั่วคราว
* สินค้าที่มีสถานะ "รอยืนยัน" เป็นสินค้าที่ต้องเช็คสต็อคก่อน สามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ เจ้าหน้าที่จะตอบกลับใน 1 วันทำการ
รายละเอียดเพิ่มเติม
ข้อผิดพลาดของมือใหม่

หลังจากที่ได้เปิด section photo corner มาพักใหญ่ๆ แล้ว ก็ได้รับข้อมูล Feedback และประสบการณ์มากมาย จากสมาชิก ทำให้เรารู้ว่า น่าจะมีซักคลิปนึงนะ ที่เราจะมาพูดคุยกัน ปรับทัศนคติให้ตรงกัน และมาเปิดใจแชร์ประสบการณ์กัน




งั้นวันนี้ เรามาวางกล้อง และพูดคุยกันในหัวข้อที่มีผลต่อความรู้สึกมากๆ (Sensitive) กันดีกว่า นั่นคือ ข้อผิดพลาดของมือใหม่ค่ะ

พวกเรา iLove ก็เลยมานั่งคุยกัน และก็ระดมสิ่งที่เคยเรียนรู้กันมาก่อน ว่าในช่วงที่หัดถ่ายรูป หรือช่วงที่เริ่มจับกล้องใหม่ๆ เราเจออะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทั้งความรู้ ประสบการณ์ และความรู้สึกในช่วงที่เรียนรู้ก็ตาม รวมไปถึงสมาชิกของ iLove บางคนถึงกับน้อยใจ หายไปเลยก็มีเหมือนกัน วันนี้ก็เลยได้ปัญหาออกมาเป็นดังนี้ค่ะ ใจเย็นๆ อ่านไปเรื่อยๆ นะคะ ^o^

ปัญหา : ถ่ายรูปไม่สื่อความหมาย 

ภาษาชาวบ้าน เค้าเรียกว่า ถ่ายเรี่ยราด (โปรดอย่าเข้าใจเป็นอื่น ; P) คือ ไม่รู้ว่า ภาพนี้ถ่ายอะไร มือใหม่มักจะเป็นกัน คือก็มีพระเอกในหัวแหละว่าตั้งใจถ่ายอะไร แต่ไม่มีวิธีจะจับภาพให้เห็นเด่นชัด เข้าใจอยู่คนเดียวว่า ถ่ายอะไร แต่คนอื่นไม่เข้าใจ ดูไม่ออก

ภาพนี้อยากถ่าย Parliament House พอเห็นปุ๊บก็ถ่ายเลย สังเกตุว่าดูแล้วไม่ค่อยรู้ว่าสถานที่นี้คืออะไร



ลองหามุมที่สามารถบอกได้ว่าสถานที่นี้คือ Parliament House จะดีกว่า



หรือภาพนี้อยากถ่ายตึกนี้ พอเห็นปั๊บก็ถ่ายเลย ซึ่งคนดูก็ดูไม่ออกว่าเราตั้งใจถ่ายอะไร



เข้าไปใกล้ซักหน่อยเพื่อให้เห็นตัวตึกชัดๆ จะดีกว่า



แล้วเราจะแก้ปัญหายังไง ??? เราต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือ พระเอก จริงๆ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ว่าตั้งใจถ่ายอะไร แต่อาจจะคิดไปไม่ถึงภาพสุดท้ายว่า ถ้าเรากดชัตเตอร์แล้วภาพจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใดเลยคือ ฝึกถ่ายพระเอกให้ชัดเจน ทุกภาพที่ถ่ายมาต้องตอบได้ว่า ถ่ายอะไร ถามคนอื่น เค้าก็ต้องตอบได้ด้วย ถ้าคนอื่นตอบได้แสดงว่าเราเหยียบบันไดขั้นแรกสำเร็จแล้ว

เพื่อความเข้าใจ จะยกตัวอย่างให้ชัดเจนดีกว่า อย่างเช่น เราจะถ่ายภาพตุ๊กตาหมีแสนรักของเรา จะถ่ายภาพออกมายังไงให้สื่อความหมาย ก็จับหมีวางไว้ตรงกลางภาพ แล้วก็ถ่ายเลย แบบนี้ ก็สื่อแล้วว่าเราถ่ายหมีนะ ดูไม่ออกก็แย่แล้ว 555 ; P


พอเรารู้แล้วว่า ถ่ายอะไร ถามว่า แล้วคิดต่อได้มั้ย ??? มีความหมายอะไร ???

ส่วนใหญ่ ก็จะเห็นภาพสไตล์นี้เยอะ เช่น ถ่ายเจาะสิ่งของมา ดูแล้ว ก็รู้ล่ะว่า มันคืออะไร ของนั้นอาจจะมีค่ากับคนที่ถ่าย แต่คนที่ไม่รู้ ก็ดูแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่อยู่ในความทรงจำ เพราะก็ไม่เข้าใจความหมาย ก็รู้ว่าถ่ายอะไรมา แต่ก็เกิดคำถาม ที่ไม่รู้จะถามใครว่า ถ่ายมาทำไม? แล้วไงต่ออ่ะ? มันยังไงหรอ?



ก็เลยอยากจะบอกให้คิดต่อว่า รู้ว่าถ่ายอะไรแล้ว ก็ต้องเล่าเรื่องต่อได้ คิดต่อได้ แล้วมันทำยังไง ??? ลองใช้สิ่งแวดล้อมรอบๆ ให้เกิดประโยชน์สิคะ



ก็จะย้อนกลับไปที่ตัวอย่างตุ๊กตาหมี ถ้าเราจับตุ๊กตาหมี วางไว้บนโต๊ะ


บนโต๊ะอาจจะมี กรอบรูปเด็กผู้หญิง กล่องดินสอ สมุดวาดเขียน สมุดพก มีม่านลายลูกไม้ อยู่ด้วย แค่ว่างตุ๊กตาหมีไว้ตรงกลางภาพ ยังไม่ต้องจัดอะไรให้มันอาร์ทมากมาย ถามว่าคิดต่อได้หรือยัง ??? ภาพนี้ทำให้เราเกิดจินตนาการอะไรต่อได้บ้าง

อาจจะคิดไปได้ว่า ตุ๊กตาหมีตัวนี้ ต้องเป็นของเด็กผู้หญิงในภาพแน่ๆ เลย เด็กผู้หญิงคนนี้ คงยังเด็กอยู่ น่าจะเรียนอยู่ชั้นประถม ไม่เกินม.3 เพราะมีสมุดพก ใช้โต๊ะตัวนี้สำหรับนั่งทำการบ้านเป็นประจำ เพราะมีกล่องดินสอวางอยู่ โต๊ะตัวนี้ คงวางอยู่ริมหน้าต่างห้อง เพราะมีม่านติดเข้ามาในรูปด้วย

อันนี้เป็นแค่จินตนาการของเราเอง ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่เราคิดต่อไปได้เป็นตุเป็นตะ แบบนี้ ถือว่าภาพเล่าเรื่องได้ วิธีนี้ เป็นการใช้ Background แวดล้อมมาเล่าเรื่อง

ที่นี่ พอเราถ่ายภาพให้มันเล่าเรื่องได้แล้ว เราก็อยากแต่งตัวให้ภาพ เหมือนเราใส่เสื้อผ้า แค่เสื้อผ้าธรรมดา ก็อาจจะดูเฉยๆ ไม่โดดเด่น แต่ถ้าเราอยากดูดีขึ้น ก็ใส่เสื้อผ้าให้มันดูดี สวย เท่ห์ อาร์ท หรู อะไรก็ตามที ที่มันเป็นสไตล์ที่เข้ากับตัวเรา มันก็จะเสริมให้เราดูดีขึ้น ดังนั้น การแต่งตัวให้ภาพ ก็คือการจัดองค์ประกอบภาพนั่นแหล่ะ

จากตัวอย่างน้องหมีมะกี้ ก็อาจจะ วางน้องหมี ไว้ที่จุดตัดเก้าช่องมั้ย องค์ประกอบง่ายๆ ใช้ได้ใช้ดี

มีแสดงแดดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง

เราถ่ายน้องหมีใช่มั้ย ก็อาจจะทำให้น้องหมีชัด กรอบรูป กล่องดินสอ สมุดพก ม่านให้มันเบลอไป ก็จะเล่าเรื่องได้ดีขึ้น และอาร์ทมากขึ้น

อาจจะเสริมๆ ความเก๋ไก๋ ความน่าสนใจให้ภาพ ด้วยการแต่งโทนสีให้เข้ากับเนื้อหาของภาพ โทนสดใส สื่อความหมายในแง่บวก เราอาจจะจินตนาการต่อได้อีกว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ ต้องอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นแน่นอน

หรือสื่อความหมายในทางเศร้าๆ อาจจะทำโทนขาวดำ หรือสี Sepia ก็ได้อีกอารมณ์นึง อาจจะเป็นสื่อได้ว่า เป็นภาพในอดีต เด็กผู้หญิงในรูปในวันนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ประมาณนี้ ก็ได้

ภาพที่องค์ประกอบดี เล่าเรื่องได้ มันมีเสน่ห์ และนำไปทำอะไรต่อได้เยอะ ดูแล้วน่าจดจำ ได้เห็นแว๊บแรกแล้วหยุดดู จินตนาการต่อ ไม่ใช่ดูแล้วก็ผ่านไป ลืมไปอย่างรวดเร็ว

สรุปว่า ทำสิ่งต่อไปนี้ ให้คล่อง

1. ถ่ายไม่เรี่ยราด มีพระเอกในภาพ
2. ภาพเล่าเรื่องได้ จินตนาการต่อได้
3. จัดองค์ประกอบให้ภาพ


ทำให้คล่องได้ด้วยการฝึกถ่ายไปเรื่อยๆ คิดก่อนกดชัตเตอร์ ทำไปเรื่อยๆ เราจะทำ 1-3 ได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป เราจะจินตนาการได้อย่างรวดเร็วว่า สุดท้ายแล้ว ภาพที่เราได้จะออกมาเป็นยังไงก่อนจะกดชัตเตอร์

มีเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการออกไปฝึกถ่ายภาพ เพื่อทำ 3 ข้อข้างบน มันจะช่วยทำให้เรามีเป้าหมายในการฝึกถ่ายภาพ รู้ว่าจะถ่ายอะไร และภาพในอัลบั้มของเราไม่สะเปะสะปะ คือ การกำหนดคอนเซ็ปท์ ของการออกทริปครั้งนี้ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ สมมติว่า วันนี้ ฉันจะออกไปฝึกถ่ายภาพ "แสงทองยามเย็น" อันนี้อาจจะเป็นชื่ออัลบั้มไปเลยก็ได้ และมันยังทำให้เรารู้ว่า เราต้องเตรียมของอะไรไปบ้างสำหรับทริปครั้งนี้อีกด้วยค่ะ ยกตัวอย่างดีกว่า วิธีนี้แล้วแต่คนนะคะ อยากใช้อะไรมาสื่อความหมายบ้าง ก็เป็นไอเดียของใครของมัน ไม่ได้กำหนดเป๊ะ ว่าจะต้องเป็นอย่างที่เรายกตัวอย่างเท่านั้น

แสงทองยามเย็น อยากสื่อถึงความเป็นยามเย็นที่มีแสงแดดเบาๆ บางๆ แง่บวก สบายๆ จะใช้คนเข้ามาอยู่ในภาพดีกว่า เป็นผู้หญิง แต่งตัวใส่เสื้อผ้าเบาๆ พริ้วๆ สบายๆ สีโทนไม่ฉูดฉาด ร้องเท้าคัทชู ไม่ใช่ส้นสูงปริ๊ด

อาจจะถือร่มกันแดด

ทำกิจกรรมในตอนเย็น อาจจะอ่านหนังสือ อยู่ในสวนที่มีต้นไม้ร่มรื่น หรืออาจจะเดินเล่นอยู่ ในสวนมีบ่อน้ำ มีสะพาน มีแสงแดดส่องกระทบกับตัวแบบ เส้นผม เสื้อผ้า ต้นไม้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะเดินเล่น ถือร่มอยู่บนสะพาน ที่ได้แสง Rim light และเงาสะท้อนน้ำ เป็นต้น


คือเรื่องจริงๆ สภาพอากาศ ณ ตอนนั้นอาจจะร้อนมาก แสบหลัง เหงื่อแตกพลั่กๆ แต่ให้เปรียบเทีียบก็เหมือนกับการทำหนังนั่นแหล่ะ มีตัวเดินเรื่อง มีฉาก ทำให้เกิดเรื่องราว แต่หนังของเรามันจะออก Based on true story อยู่บ้าง เพราะเราอาศัย ธรรมชาติแวดล้อม มาเป็นตัวช่วยในการเล่าเรื่อง เราไม่ได้จัดฉากไปซะทุกอย่าง เราหยิบมุมมองที่เกิดขึ้นจริง กับจินตนาการของเราบวกเข้าไป อาจจะดูเป็นตุ เป็นตะ ก็นี่คือสิ่งที่เราคิด และอยากสื่อออกมาในภาพ มันทำให้เรามี Scope การคิด และทำให้อยู่ในคอนเซ็ปท์ค่ะ

บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องสื่อความหมายด้วย ก็เราเห็นมันสวยดีก็เลยถ่ายมา ทำไมต้องคิดอะไรให้มันมากมายด้วยล่ะ ??? อยากจะบอกว่า ถ้าเราถ่ายภาพเก็บไว้ดูเองคนเดียว ชื่นชมผลงานตัวเอง ไม่ต้องการให้ใครมาดู ไม่ต้องการเล่าเรื่องอะไรให้ใครฟัง เราก็ไม่จำเป็นต้องพยายามสื่อความหมายหรอกค่ะ เพราะเราก็ดูเอง เข้าใจเอง จำได้เองอยู่คนเดียวนี่นา

แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอยากจะเล่าอะไรบางอย่างให้ใครฟัง เราอยากแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว ชิมอาหาร หรือเล่าอะไรบางอย่างให้ใครฟัง หรือ เราอยากให้คนอื่นๆ ดูผลงานของเราแล้วชอบใจ หยุดดู มีความเห็น ประทับใจ นั่นแหล่ะค่ะ ที่เราจะต้องคิดเรื่องการสื่อความหมาย และการเล่าเรื่องให้มาก

สรุปอีกครั้งว่า ทำสิ่งต่อไปนี้ ให้คล่อง

1. ถ่ายให้พระเอกของภาพเด่นชัด
2. ใช้ Background แวดล้อมเล่าเรื่อง
3. จัดองค์ประกอบให้น่าสนใจ
4. แต่งโทนสีให้เข้ากับเนื้อหา


พอเราเริ่มเก่งขึ้น เราเริ่มกำหนดคอนเซ็ปท์ให้กับภาพ รับรองว่า พัฒนาได้อย่างแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม !!!

ปัญหา : ถ่ายรูปออกมาแล้วจบหลังกล้องได้เลย

ก็ไม่ได้อยากจะบอกว่า เป็นปัญหานะ แต่เป็น "ความเชื่อ" ของบางคนมากกว่า ที่บางคนอาจจะคิดว่า "ถ่ายรูปมาแล้ว เอามาแต่งอีก ก็ไม่เก่งจริงอ่ะสิ" หรือ "แต่งมากซะจนไม่เหลือความเป็นธรรมชาติ" "เสน่ห์ของคาแรคเตอร์ของกล้องหายไป" อะไรแบบนี้ อยากจะสรุปตามความเห็น และประสบการณ์ของพวกเรา และของผู้รู้หลายๆ คนที่เรารู้จัก และถามๆ เค้ามา


โดยปกติที่ทำมาตลอด ถ่ายภาพออกมาแล้วไม่เคยจะจบได้หลังกล้อง มันจะขาดๆ เกินๆ ถ่ายมามืดไปบ้าง สว่างไปบ้าง มีส่วนเกินเข้ามาในภาพ ดูแล้วมันยังไม่ปิ๊ง ยังไม่ตรงตามที่จินตนาการไว้เท่าที่ควร เราก็ยังต้อง Process เพิ่ม มากหรือน้อย ก็แล้วแต่ความพอใจ



มีรุ่นพี่เคยบอกว่า การที่เรามี Photoshop ก็เหมือนเรามี Lab อยู่ในมือ เมื่อก่อน ถ่ายรูปด้วยฟิล์มก็ยังมีแต่งภาพ แต่เค้าทำในห้องมืด อยากได้สีจิ๊ดจ๊าด ก็อัดลงกระดาษที่ให้สีจิ๊ดจ๊าด นั่นก็คือ เราพยายามจะแต่งภาพนั่นแหล่ะ

ทีนี้ ถ้าจะถามว่า ถ่ายรูปออกมาแล้วจบหลังกล้องได้เลยหรือเปล่า ??? คำตอบสำหรับพวกเราคือ ไม่ได้ค่ะ ต้องแต่งภาพต่ออีกหน่อย เพื่อให้ได้ตามคอนเซ็ปท์ ที่วางไว้ แต่สิ่งที่พวกเราไม่เคยละทิ้งหรือลดทอนความสำคัญคือ องค์ประกอบของภาพต้องได้ ภาพต้องเล่าเรื่องได้ เพราะ Photoshop แก้ไขเรื่ององค์ประกอบภาพได้ยากค่ะ

การปรับสีรูป มันทำให้ภาพดูน่าสนใจ และดูมีพลังมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การปรับสีต้องไม่เกินไปกว่า หรือน้อยกว่าคอนเซ็ปท์ที่เราวางไว้ ยกตัวอย่าง iLove ไปถ่ายภาพรีวิวร้านอาหาร คอนเซ็ปท์หลักที่เราวางไว้คือ สื่อให้ได้ความเป็นจริงมากที่สุด เห็นอะไรพูดอย่างงั้น สื่อให้ตรงกับที่ตาเราเห็น โดยปกติที่เราไปถ่ายภาพมา ภาพที่ได้ ความสวย น่าทาน มันจะ Drop ลงเล็กน้อย เราก็เอาไปปรับสีสัน ให้มันดูเหมือนจริงมากที่สุด บรรยากาศร้านสวย ต้องดึงจุดที่เรารู้สึกว่าสวยออกมาให้ได้มากที่สุด อาหารที่ดูน่าทาน มันน่าทานยังไง ก็ดึงจุดนั้นออกมา จะไม่ปรับให้มันเว่อร์ หรือเยินเกินไป



หรือจากตัวอย่าง แสงทองยามเย็น ถ้าเราปรับสีภาพออกมาซะส้มแดงงงงงงงง มันก็คงจะไม่ตรงกับคอนเซ็ปท์แสงทองยามเย็น มันก็ดูน่าจะไม่เย็น มันจะร้อนระอุ อย่างกะอยู่ในนรกแทน

บางภาพองค์ประกอบธรรมดา ก็ไม่ได้มีเทคนิคอะไรพิเศษ แต่พอทำสีสันแล้วมันดูสวยขึ้น ดูใช่มากขึ้น สิ่งที่จะทำให้ภาพเราดูน่าสนใจก็จะมี สีสัน องค์ประกอบ และการสื่อความหมาย ควรจะมีให้ครบ

สรุปว่า ปรับไปเถอะ ถ้ามันทำให้ภาพของเราครบและสมบูรณ์ตรงตามจินตนาการเรามากที่สุด


ปัญหา : อุปกรณ์เทพๆ ทำให้ถ่ายภาพได้สวยเทพๆ

อันนี้ ก็เป็นปัญหาได้ ถ้าคิดแบบนี้จริงๆ เพราะมันอาจจะทำให้คุณมีปัญหาทางการเงินได้ ถ้าคุณไม่ได้ร่ำรวย แต่อยากถ่ายรูปสวย แล้วคิดว่ามันต้องเป็นที่อุปกรณ์แน่เลย ขอลำดับความสำคัญให้เห็นชัดเจน จะได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว เราควรมุ่งเน้นไปที่อะไร แล้วก็จะตอบคำถามได้เองว่า อุปกรณ์เทพๆ มันทำให้เราได้ภาพสวยเทพๆ จริงหรือ??

สำหรับพวกเราแล้ว รู้สึกว่า อุปกรณ์มันเป็นเหมือนเครื่องมือ ที่ทำให้จินตนาการเราเป็นจริงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

ภาพจาก Canon 500D เลนส์ 10-22



ภาพจากกล้อง Compact Canon PowerShot S50 รุ่นปี 2007



ภาพจากกล้อง Compact Canon PowerShot S50 รุ่นปี 2007



ถ้าดูแบบนี้แล้วคิดว่า ถ่ายด้วยเลนส์ราคาเท่าไร ???

จะเปรียบเทียบง่ายๆ กับประสบการณ์สมัยเด็ก เก้าเคยรู้สึกอิจฉาที่เพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ เค้าลายมือสวย อยากลายมือสวยบ้าง คิดไปอย่างเด็กๆ ว่า ต้องเป็นที่ดินสอแน่ๆ เคยยืมเค้ามาใช้ป๊อปๆ แป๊ปๆ รู้สึกว่าเขียนลื่นดี เพราะมันเป็นปากกาดินสอยี่ห้อ Pentel ที่ใครๆ ก็อยากได้ และราคามันแพง สำหรับเด็กประถม คิดว่าจะไปขอแม่ซื้อให้ได้ เผื่อว่า ลายมือเราจะสวยอย่างเค้าบ้าง

และแล้ววันนึง ก็ได้พบความลับ เพื่อนลืมเอาดินสอมา ก็เลยมายืมเก้า (พอดีว่าเอาดินสอมาหลายแท่งเพราะเป็นพวกบ้า Stationery มากๆ) ก็ให้เค้ายืม สิ่งที่ได้พบคือ ดินสอที่เราใช้อยู่ทุกวัน เค้าเอาไปใช้ ก็ยังลายมือสวยอยู่เหมือนเดิม แต่พอเราใช้ มันก็เป็นลายมือเราที่มันไม่สวยอ่ะ..... ได้ข้อสรุปว่า จริงๆ แล้วเก้าควรจะไปคัดลายมือมากกว่าซื้อดินสอ Pentel หรือเปล่า -____-''

เทียบกับเรื่องการถ่ายรูป กับอุปกรณ์แพง ถามว่า อยากถ่ายรูปสวย ควรจะฝึกอะไรก่อนอย่างแรก

ดังนั้นถ้ารู้แบบนี้แล้ว ก็หวังว่าทุกคนคงจะไปถูกทางนะคะ ไปเริ่มฝึกจินตนาการ ของเราก่อน หัดถ่ายภาพให้ไม่เรี่ยราด สื่อความหมายของภาพ จัดองค์ประกอบให้เป็นก่อน เพราะเรื่องของการถ่ายภาพ มันอยู่ที่มุมมอง และจินตนาการมากกว่า เพราะสุดท้าย เก้าก็ไปซื้อ Pentel มาใช้ ลายมือก็ยังไม่สวยเหมือนเดิม ; P

ไม่อยากให้ทุกคนมุ่งไปที่อุปกรณ์เทพๆ พยายามกันอย่างสุดฤทธิ์เพื่อให้ได้มา อดมื้อกินมื้อ ลักเล็กขโมยน้อย (ไม่ขนาดนั้น) เพื่อหาเงินไปซื้ออุปกรณ์เทพๆ มาใช้ แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะยังถ่ายภาพออกมาเรี่ยราด ไม่สื่อความหมาย ไม่ได้รับการกล่าวชมเหมือนเดิม แบบนี้มัน SAD นะ

อยากให้ทุกคน ใช้อุปกรณ์ที่ตัวเองมีอยู่ให้คล่องก่อน เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาสมองและความสามารถของเราก่อน รู้จักอุปกรณ์ของเราให้เต็มที่ จนกว่าเราจะรู้สึกว่า อุปกรณ์เริ่มจำกัดจินตนาการของเราเมื่อไร เราก็ค่อยหันไปหาอะไรที่ สะดวกขึ้น และแน่นอน อะไรที่สะดวกขึ้น ก็จะแพงขึ้น แต่มันก็จะคุ้มค่าได้ ถ้าเราใช้มันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมัน

ดังนั้น ใครมีกล้องอะไร ที่อยากเริ่มต้นถ่ายภาพ ก็ใช้ไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นกล้องคอมแพ็ค หรือ DSLR แบบรุ่นเริ่มต้น หรือ DSLR-like ก็ตาม ใช้ไปก่อน ไปฝึกเรื่องมุมมอง และจินตนาการกันก่อนดีกว่าค่ะ

สรุปว่า อุปกรณ์เทพๆ ไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้นแล้วจะมีภาพเทพๆ ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราเก่งขึ้นคือ การฝึกฝน ดูรูปเยอะๆ ขยันถ่ายรูป

ปัญหา : ดูไม่ออกว่าภาพสวยเป็นยังไง

ก็ไม่รู้ว่า แบบนี้ กับ . . . . .



แบบนี้ . . . . แบบไหนสวยกว่ากัน หรือแบบไหนเรียกสวยอ่ะ ??



อันนี้เรียกปัญหาของแท้ ไม่รู้ว่าอะไรสวยไม่สวย จะถ่ายรูปออกมาสวยได้ยังไง เก้าก็ไม่รู้ว่า มีใครเป็นหรือเปล่า แบบนี้ แต่ตอนที่ถ่ายรูปใหม่ๆ เก้าเป็น คือมานั่งดูรูปกัน แล้วบอกว่า ภาพนี้สวย ภาพนี้ไม่สวย ความรู้สึกของเราคือ เราเห็นต่าง ภาพที่เราว่าสวย เค้าว่าไม่สวย แต่ภาพที่เค้าว่าสวย เราว่ามันไม่สวยนะ ตอนแรกก็คิดแค่ว่า ความเห็นที่แตกต่าง ทำไมต้องมาให้เราปรับอะไรด้วย ทำไมต้องมาบอกให้เราพัฒนาฝีมือ ให้เราปรับมุมมอง

แต่คนที่พูดคือ คนที่เรียนศิลปะมา และคนที่มีมุมมองการถ่ายรูปที่ดี แล้วถ้าเราไม่เชื่อเค้า เราจะเชื่อใคร เราไม่ได้เรียนศิลปะมา ไม่เคยได้เกรด A ในวิชาศิลปะ 555+ เกิดมาเพิ่งจะถ่ายรูปแบบจริงๆ จังๆ ก็ครั้งนี้ เป็นครั้งแรก เราก็ควรจะฟังเค้านะ สุดท้าย ก็ต้องเปิดใจ และรับฟัง และปรับไปตามที่แนะนำ และก็ดูรูปของคนที่เค้าว่าสวยๆ เยอะๆ บ่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ สุดท้าย เราก็จะเริ่มเข้าใจว่า สวยคืออะไร ไม่สวยคืออะไร

มันมีวิธีอยู่สำหรับการแก้ปัญหานี้ มามองให้เห็นเด่นชัด จะได้เป็นข้อแบบนี้

1. ฟังวิจารณ์รูปจากคนอื่น
คนอื่นในที่นี้ อาจจะฟังดูแล้ว มีข้อขัดแย้ง ใครก็ได้หรอที่สามารถวิจารณ์งานถ่ายรูปได้ ??

ถ้าเป็นไปได้ ก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ และเข้าใจการถ่ายรูปมานาน จะดีที่สุด เค้าสามารถวิจารณ์แบบเทคนิค ลงลึก ลงรายละเอียดได้ สามารถหยิบสิ่งที่เราหลงลืม หรือขาด ไปกลับมาในภาพได้ และตัดทอนสิ่งที่เยอะไป ออกจากภาพให้เราได้

รองลงมา ก็คือ คนที่ฝึกฝนอยู่ด้วยกัน เค้าอาจจะไม่ได้มาวิจารณ์ แต่เค้าอาจจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อเราเจอ ก็จะได้รู้ว่า ต้องทำยังไงเหมือนเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นนั่นเอง

คนอีกกลุ่มนึงคือ คนเสพย์รูป หรือคนที่ไม่ได้ถ่ายรูปหรอก แต่ชอบดู คนกลุ่มนี้ ก็ฟังได้อยู่ เพราะเค้าก็จะพูดไปตามความรู้สึก แต่เค้าอาจจะลงลึกให้เราไม่ได้ว่า มันต้องปรับตรงไหนอย่างไร

การฟังคนอื่นแบบนี้ ที่สำคัญ ต้องฟังอย่างมีสติ

2. หามาตรฐานภาพสวย

หาไว้ทำไม ?? เอามาไว้ดูเพื่อให้รู้ว่า สวยคืออะไร และอาจจะมีภาพเค้าเป็นแรงบันดาลใจก็ได้ ให้ลองหาๆ จากเว็บดูที่เค้าว่าสวยกัน หรือที่เค้าว่าคนนี้เจ๋งนะ ก็ดูมุม เป็นแนวทางการศึกษาภาพสวย ว่าเค้าจัดวางอะไรยังไง ให้ความสำคัญอะไร พระเอกของภาพเค้าคืออะไร เข้ากฎการจัดองค์ประกอบอะไร คือรวมๆ แล้วให้ดูแบบศึกษาอย่างมีสติ

3. ลอง Copy มุม

จะบอกว่า วิธีนี้ เป็นการเรียนรู้ที่เร็วดีนะ

คือหลังจากที่เราหาภาพที่เค้าว่าสวยๆ กันได้แล้ว เราก็ลองก็อบปี้มุมเค้าดู อย่างถ้าได้ไปในสถานที่ที่อาจจะคล้้ายกัน หรือถ่ายภาพของประเภทเดียวกัน ก็ลองจัดวางเลียนแบบเค้าดู ดังนั้น การที่เราดูไว้แต่แรกว่า เค้าจัดวางอะไรไว้ตรงไหนอย่างไร จะช่วยทำให้เรารู้ไปเอง เราต้องจัดองค์ประกอบยังไง วิธีนี้ ได้ผลจริงๆ เก้าทำมาแล้ว ตอนที่ไปรีวิวอาหาร ดูภาพไปก่อน จำมุมไว้ แล้วก็เลียนแบบไปเลย

มันทำให้เรารู้ว่า เราต้องถ่ายให้มันชัดเจนนะ ต้องวางพระเอกของภาพไว้ตรงไหนถึงจะสวย

ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ก็อบยังไง ก็ไม่มีทางเหมือนซะ 100% หรอก ถ้าตั้งใจจะก็อบกันจริงๆ องศาไหน ก้มแค่ไหน เงยแค่ไหน หันกล้องขนาดไหน ถึงจะได้จุดเดียวกันกับภาพที่เราดูมา แล้วเราเราต้องไปเวลาไหนถึงจะเป็นเวลาเดียวกัน จะโทร.ไปถามเค้าเลยหรอ ถึงโทร.ไปถามได้เวลาเดียวกัน ถามว่าสภาพแสง จะเหมือนกับวันนั้นที่เค้าไปถ่ายเลยหรอ ไม่มีทางค่ะ เราก็แค่เอาหลักๆ โดยรวมๆ ของเค้ามาเท่านั้นเอง

4. ไม่ทำตัวเป็นไอ้เข้ขวางคลอง
555+ จริงๆ แล้วข้อนี้ สามารถคิดหัวข้อให้สวยหรูกว่านี้ได้คือ เปิดใจเรียนรู้ นั่นเอง แต่ไม่เอา มันไม่ได้ Feel ที่อยากสื่อถึงสิ่งที่เคยเจอมา

จะบอกว่า บางคนชอบทำเป็นว่า ชั้นไม่เหมือนใคร คือพอใครบอกว่า สวยเนอะ ก็สวนกลับทันทีว่า ไม่เห็นสวยเลย เชอะ ! อะไรประมาณนี้ คือ เหมือนว่า ชั้นไม่ใช่คนตามกระแส จริงๆ ก็ไม่ได้บอกว่าให้ตามกระแส แต่อยากให้คิดอย่างมีสติว่า ที่เค้าว่าสวยเนอะเนี่ย มันสวยจริงมั้ย แล้วถ้าสวย สวยยังไง แล้วถ้าเราว่าไม่สวย ไม่สวยยังไง คือการดูรูปอย่างมีสตินั่นเอง ถ้าเราดูอย่างมีสติไปเรื่อยๆ เราจะรู้ได้เองว่า ภาพไหน สวยไม่สวย อย่างไร

5. เปรียบเทียบภาพของเรา กับภาพของ Idol ของเรา


วิธีนี้ จะทำให้เรารู้ความก้าวหน้าของตัวเองได้ เราสามารถนำการบ้านของเราจากคร้ังที่แล้ว เทียบกับครั้งนี้ดูว่า มันต่างกันมั้ย ข้อผิดพลาดเดิมๆ ยังเกิดอยู่หรือเปล่า แล้วก็ลองนำการบ้านที่เราว่าสวยสุดเนี่ยไปเทียบกับภาพของ idol ของเราดูว่า เราเข้าใกล้เค้าแค่ไหนแล้ว ยังห่างชั้นเยอะแค่ไหน ดูเป็นแรงผลักดัน และกำลังใจว่าซักวันฉันต้องทำให้ได้

ก็หวังว่า คนที่มีปัญหาดูภาพสวยไม่ออก จะมีทางแก้ไขนะคะ เก้าและเบญทำวิธีนี้กันมาแล้วได้ผล ก็อยากจะแชร์ให้ทุกคนได้ลองทำดูค่ะ ไปดูปัญหาต่อไปกันดีกว่า มือใหม่เนี่ย ปัญหาเยอะ อิอิ :D ล้อเล่งงงงง

ปัญหา : เกิดอาการน้อยใจ ว่าภาพของเรา ไม่สวยเหมือนคนอื่น

จะบอกว่า อย่าน้อยใจเลย มันก็ถูกอยู่แล้วล่ะ ก็เรามือใหม่ ภาพสวยๆ มันจะออกมาสวยน้อยแบบนี้แหล่ะ ไม่ได้จะซ้ำเติมนะ แต่ว่า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกคนต้องผ่านจุดนี้มากันทั้งนั้นแหล่ะค่ะ แต่เรามีทางออกให้

แรกเริ่มเดิมที iLove ตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราอยากจะเป็นเว็บที่ถ่ายรูป ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ได้สวย คือเป็นเว็บภาพสวยน่ะ พูดง่ายๆ อิอิ แต่พวกเราในทีม ก็ไม่มีใครมีประสบการณ์ถ่ายรูปกันเลย แล้วผลงานจากการไปเที่ยวสิงคโปร์ ที่ได้ภาพมาอย่างเรี่ยราด ก็เป็นแรงผลักดัน ให้เราคิดว่า เราต้องซ้อมถ่ายรูปแล้วล่ะ

เราก็เลยจัดตารางกันว่า ทุกอาทิตย์ ต้องไปซ้อมถ่ายรูป ไปครั้งนึง ต้องถ่ายมาไม่ต่ำว่า 200 รูป แล้วนำภาพมานั่งวิจารณ์องค์ประกอบกัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงพัฒนาการของตัวเองจริงๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าทุกคนได้ทำแบบนี้ ก็น่าจะพัฒนาได้

และก็เคยแอบได้ยินบางคนบ่นว่า ทำไมรูปที่เราถ่ายมา จำนวนภาพสวยมันน้อยจัง พอได้ดูอัลบั้มของโปรในเว็บ เอามาโชว์ 10 ภาพ ก็รู้สึกว่า โหหหห ทำไมรูปสวยๆ ทั้งนั้นเลยเก่งจัง แล้วก็มาน้อยใจตัวเองว่า เรามันไม่เก่ง เรามันแย่ เก้าจะบอกความลับให้ค่ะ

เคยรู้รึป่าวว่า พวกเค้าถ่ายภาพกันจำนวนเท่าไร กว่าจะได้อัลบั้ม ที่มีรูปสวยๆ ซัก 10 รูปออกมา ???

เคยไปงานสัมมนางานหนึ่ง ได้มีโอกาสฟังพี่หาว (เอง) 2how.com บรรยายเรื่องการถ่ายรูป พี่หาวเอาภาพมาโชว์ในงาน น่าจะประมาณ 10 กว่ารูป แต่พี่หาวบอกว่า พี่หาวคัดมาจาก 1,000 กว่ารูป คือ พี่หาวยิงรัวมาก

ดังนั้น ยิ่งถ่ายมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่ภาพสวยๆ จะหลุดออกมามาก ขอเพียงแต่คิดก่อนกดชัตเตอร์ทุกครั้ง และ iLove (เอง) ก็มีความลับนี้เหมือนกัน ถ้าใครจำ Content บุฟเฟ่ต์ต่างๆ ได้ ใน Content นึง เกือบร้อยรูป กล้องที่ไปถ่ายภาพ ก็ 4 ตัว พูดง่ายๆว่า ตากล้อง 4 คน รวมๆ ภาพแล้ว ก็เป็นพันรูป (เท่าพี่หาวเลย แต่เราได้รูปมากกว่า เพราะบางทีภาพไม่สวยแต่ต้องเอาลงเว็บ เพราะมันต้องเล่าเรื่อง อิอิ ของพี่หาวคงคัดแบบเจ๋งเป้งจริงๆ)

และอาหาร 1 อย่าง เก็บมุมมาประมาณ 3-4 ภาพ เก็บมุมนั้น มุมนี้ เอาไว้เลือก เผื่อเหลือเผื่อขาด คิดดูว่า ถ่ายมาเยอะขนาดไหน ต้องขยันหามุมสุดๆ ถึงจะได้ภาพสวยๆ ออกมา นี่ก็มาแชร์กันอย่างไม่อายปาก ที่เห็น iLove ถ่ายภาพสวย ก็เพราะเราก็ถ่ายมาจำนวนเยอะ หามุมนั้น มุมนี้ ลุกๆ นั่งๆ บางครั้งน้าเล็กถึงกับลงไปนอนกับพื้น



เห็นน้าทำขนาดนี้ ก็อยากทำบ้าง



มีเทคนิคจากรุ่นพี่ที่เค้าถ่ายรูปมานาน เค้าบอกว่า เวลาเค้าฝึกน้องๆ ถ่ายรูป เค้าจะบอกว่า
1. อย่าขี้เกียจหามุม
2. ห้ามเอาเลนส์ซูมไป ให้ใช้เลนส์ Fix หรือถ้าใครไม่มี ให้เอาเทปกาวคาดไว้ ห้ามหมุนซูม

เคยมีกูรูนักถ่ายรูปของฝรั่งเค้าบอกว่า ถ้าเราเดินไปเจอมุมที่เราอยากถ่ายรูปแล้ว อย่าเพิ่งกดชัตเตอร์ ให้ลองเดินหน้า ถอยหลังซัก 2-3 ก้าว มันอาจจะทำให้เราเจอมุมที่สวยกว่า ตอนแรกที่เราเจอก็ได้ ดังนั้น เราอย่าใจร้อน และต้องขยัน

สรุปว่า อยากได้ภาพสวยๆ ต้องถ่ายเยอะๆ แล้วคัดภาพสวยสุดๆ ออกมา

ปัญหา : รู้สึกว่า ภาพของเรามันช่างเมพขิงๆ

ปัญหานี้ เป็นอีกด้านหนึ่งของปัญหาที่แล้ว ปัญหาที่แล้ว เกิดอาหารน้อยใจ เริ่มจะดูถูกตัวเอง แต่ปัญหานี้คือ อาการ หลงตัวเอง! คือ คิดว่าภาพของเองมันสวยเริ่ด เทพจิงอะไรจิง

แต่ก่อนอื่น คนที่หลงตัวเอง จะรู้มั้ยว่า ตัวเองนั้น หลงตัวเองอยู่ ?? เราจึงมี List อาการให้ว่า ตัวเราตรงกับข้อใดบ้าง ถ้าเราตรงกับข้อใดข้อหนึ่ง เราก็มีอาการหลงตัวเองแล้วล่ะ มาดูกันเลย

1. เมื่อถูกชม ว่าภาพสวยอย่างเทพเลย แล้วตัวลอย

พอมีใครชมก็ตีปีก ได้ใจ โดยไม่คิดว่าถูกชมเพราะอะไร

2. คิดว่าตัวเองแน่กว่าคนอื่น ถ่ายสวยกว่าใครๆ
ฝีมือชั้นนี่มันขั้นเทพเรียกพี่จริงๆ

3. กระหายอยากได้ภาพมาก โดยไม่แคร์ใครอยู่ในสายตา
มาออกทริปถ่ายภาพ ก็จองมุมอยู่คนเดียว สั่งให้นางแบบทำอย่างงั้นสิ อย่างงี้สิ แล้วก็ใช้ให้เพื่อนร่วมทริปให้มาถือแฟลช โดยไม่คิดว่า เพื่อนร่วมทริปก็อยากถ่ายรูปเหมือนกัน หรืออีกกรณี ที่เคยเจอคือ โทร.ไปสอบถามอยากจะจ้างให้มาถ่ายรูปในวันอาทิตย์หน่อย แต่ได้รับคำตอบมาว่า "คงไม่สะดวกหรอกครับ ไม่รู้หรอ ว่ามืออาชีพ เค้าไม่ทำงานวันเสาร์-อาทิตย์"

4. เวลามีอุปกรณ์เทพๆ อยู่ในมือแล้วรู้สึกราวกับได้จับขีปนาวุธ
ประมาณว่า เป็นเทพเพราะอุปกรณ์อ่ะ ใช้เป็นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่พอได้ถือ ก็รู้สึกว่า ชั้นแน่กว่าใคร



ถ้าใครเริ่มตะหงิดๆ ว่าตัวเองตกอยู่ในข้อใดข้อหนึ่ง ก็แสดงว่ามีอาการหลงตัวเองนะคะ แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ถ้ารู้ได้ว่ากำลังหลงตัวเอง ก็ถือว่า เราได้แก้ปัญหาไปแล้ว 80% ที่เหลืออีก 20% ก็ทำไม่ยากแล้วล่ะค่ะ มาดูทางแก้กัน

1. เปิดใจเรียนรู้ รับฟังความเห็นคนอื่น
2. เวลามีคนชม ก็อย่าเชื่อ 100%

คือคำชมมันมักจะเป็นสิ่งที่เราอยากได้ยิน ใครๆ ก็ชอบนะ คำชม แต่ก็เบรคๆ ยั้งๆ ฟังอย่างมีสติซักนิดนึง เพราะคนที่ชมเรา อาจจะเป็นคนที่ส่งการบ้านเหมือนเราก็ได้ และก็อยากได้รับคำชมกลับก็ได้ คือ ชมกันไป กันมา อวยกันไปกันมาแบบนี้ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรในการพัฒนาฝีมือถ่ายรูป ดังนั้น ก็ฟังอย่างมีสติพิจารณา ฟังหลายๆ คน โดยเฉพาะ คนที่เป็นครู ผู้มีประสบการณ์

เคยได้ยินครูบางคนเล่าให้ฟัง มือใหม่บางคน พอแนะนำไป ก็เหมือนแก้ตัวกลับมา คือ
พอบอกว่า "ตรงนี้ควรจะปรับนี่ นั่น โน่น"
มือใหม่ก็ตอบกลับมาว่า "อ๋อ คือตรงนี้ พอดีผมยังไม่ได้ทำ นี่ นั่น โน่น ครับ ไม่งั้นไม่เป็นอย่างงี้หรอกครับ"
ก็แอบคิดในใจว่า ทำไม ไม่ทำมาให้เสร็จซะเลยก่อนมาโพสท์

หรืออีกกรณี คือ
ครู "ถ้าขยับทางด้านขวามาอีกหน่อยจะสวยกว่านี้นะครับ"
มือใหม่ "ขยับไม่ได้แล้วครับ ติดกำแพง"
ครู "อ้อ ภาพนี้ เยื้องไปทางซ้ายหน่อยจะดีกว่านี้ครับ"
มือใหม่ "ขยับไม่ได้ครับ มีคนยืนอยู่"

สรุปว่า การแนะนำก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร

คืออยากจะบอกว่า การที่ครู ติ หรือวิจารณ์ให้ปรับแก้ตรงนั้นตรงนี้ เค้าบอกจากประสบการณ์ ที่ไม่มีในหนังสือสอน หรือไม่เคยโพสท์ที่ไหน คือ มาดูรูปแล้วรู้สึกว่าต้องแก้ไขอะไร ยังไง แค่นั้นเอง ไม่ได้บอกว่าคุณทำผิด ดังนั้น ไม่ต้องออกมาแก้ตัว จริงๆ อยากให้รับฟังไว้ เพราะ วันที่ไปถ่ายรูป ครูเค้าไม่ได้ไปกับเรา เค้าไม่ได้รับรู้ข้อจำกัดของเราหรอกว่า ข้างหน้ามีหน้าผา ขยับไปอีกนิด เราอาจจะตกลงไปก็ได้ คือ เก็บข้อแนะนำมา แล้วจำไว้แก้ตัวคราวหน้าดีกว่า

สิ่งสำคัญคือ อย่าขี้น้อยใจ ไม่ใช่ว่าพอฟังคำติ ก็น้อยใจ เก็บกระเป๋ากลับบ้านเลย ไม่เอาแล้ว อ้าว... แล้วกล้องตั้งกี่หมื่น จะเลิกซะแล้วหรอ เราควรเก็บเอาคำติเหล่านั้นมาพัฒนาฝีมือดีกว่า ถึงแม้ว่า บางครั้งเราอาจจะโดนคำติ แบบตรง และแรง แต่มันก็ทำให้เราจำได้ดี และเราจะไม่ทำพลาดอีกซ้ำสอง

กลับมาที่เรื่องของปัญหาของเรากันต่อ...

อยากบอกว่า โปรจริงๆ ไม่มีใครมานั่งดีใจกับความเป็นเทพ เพราะการถ่ายรูป เป็นไอเดีย จินตนาการ และการสร้างสรรค์ ไม่มีเพดาน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโปร การถ่ายรูปมันมีหลายอย่าง หลายแบบ หลายด้าน ไม่มีการถ่ายรูปแนวไหนที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า ถ้าคุณถ่ายแนวนี้เก่ง แสดงว่าคุณเป็นเทพ เป็นโปร มันอยู่ที่คุณชอบแนวไหน คุณก็ไปแนวนั้น พอแนวนั้นคุณทำได้ดีแล้ว คุณก็อยากเดินไปอีกแนว แล้วก็อยากทำแนวนั้นให้ดีที่สุดอีก ถึงบอกว่า มันไม่ได้มีเพดานไงคะ

อย่างพี่ RBJ ประจำ Pixpros เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของเค้า พี่เค้าบอกว่า "ผมอยากเป็นโปรซักวันนึง" ทั้งๆ ที่เค้าก็ฝีมือระดับนี้แล้ว แต่เค้าก็ยังคิดว่า เค้ายังเรียนรู้ได้อีก ไม่มีวันจบ ขอหยิบเอาคำพูดของ พี่ ketpong ครูประจำ iLove พี่เค้าบอกเสมอว่า "อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว"

สรุปว่า เลิกคิดว่าตัวเองเป็นเทพ เป็นโปร มันไม่มีจริง เลิกว่าตัวเองเก่งแล้ว เพราะคำนี้ จะทำให้เราหยุดพัฒนา เราสามารถเก่งขึ้นได้ แต่จะไม่มีคำว่า เก่งแล้ว หรือเก่งที่สุด

ปัญหา : พอดูภาพของโปรเยอะๆ เข้าก็เกิดอาการท้อ


วันนี้ เรามาเน้นกันเรื่องท้อเยอะ เพราะว่า ช่วงของการเรียนรู้ จะมีปัจจัยมากมายที่จะมาทดสอบความอดทน และให้เราปรับจูนทัศนคติ ถ้าเราทนได้ มีทัศนคติที่ดี เราก็เหมาะสมที่จะเป็นโปรซักวันนึง

สำหรับปัญหานี้ จะเกิดกับมือใหม่ที่ดูภาพของโปรเยอะ ก็เริ่มรู้สึกท้อว่า เฮ้อ.... (ถอนหายใจยาวๆ) เมื่อไรเราจะเก่งแบบนี้บ้าง คิดว่า ชาตินี้คงจะทำอย่างเค้าไม่ได้แล้ว ก็เลยพาลจะเลิกถ่ายรูป

การดูรูปเทพๆ แล้วเอามาท้อแท้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราควรจะเอามาเป็นแรงบันดาลใจ และแรงผลักดันดีกว่า คือถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว เราอาจจะไม่เก่งเท่าเค้าหรอก แต่เราจะมีทางเดินของเราเอง ก็เป็นทางที่เรามีความสุข และสนุกกับการถ่ายภาพได้เหมือนกัน

พวกเราเองก็มีโปร หรือเทพ ที่เป็นแรงบันดาลใจของเราเหมือนกันค่ะ

1. กับตันโจ๊ก (Sky high - Pixpros)
ช่วงที่ดูผลงานเค้า เค้าจะมีรูปที่ถ่ายที่ต่างประเทศเยอะ และเป็นสไตล์สีสันที่ชอบ และมักจะให้ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการถ่ายรูป

2. 13 maysa (สงกรานต์ วีระพงษ์)
เป็นสไตล์ภาพ Portrait ที่ชอบค่ะ

3. RBJ - Pixpros
เป็นสไตล์ภาพที่รู้สึกว่า มีพลังมาก ตอนช่วงเรียนรู้ใหม่ ภาพของเค้าจะเป็นสไตล์สีสันจิ๊ดจ๊าด องค์ประกอบโดดเด่น แตกต่างจากคนอื่นๆ (ซึ่งตอนแรกก็ดูไม่ออกหรอก แต่พอได้ดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มดูออกขึ้นเรื่อยๆ)

4. Dust - Pixpros
ภาพเค้าจะคนละสไตล์กับพี่ RBJ คือ ของเค้าดูจะเป็นสไตล์สบายๆ Relax สีสันไม่ได้ฉูดฉาด ดูแล้วสบาย ที่สำคัญคือ เค้าจะให้กำลังใจคนที่ฝึกถ่ายรูปตลอด อ่านแล้วรู้สึกได้กำลังใจมากค่ะ คำว่า "ถ่ายภาพให้มีความสุข" ก็มาจากเค้า เป็นคำที่เตือนสติเราเสมอว่า ถ่ายรูป อย่าเครียด ถ้าเครียด งานก็จะออกมาเครียด มาย้อนดูรูป เราจะจำความรู้สึกเครียดๆ ไว้มันจะมีความสุขตรงไหน

โปรเหล่านี้ (เค้าจะยอมรับกับคำนี้หรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ อิอิ) เค้าก็เคยผ่านช่วงเวลาเรียนรู้ และอุปสรรคมาเหมือนพวกเรา เพียงแต่เค้าเริ่มต้นก่อน ทำมานานกว่า เก็บเกี่ยวประสบการณ์มามาก ก็เลยทำให้เค้าได้มีผลงานอย่างที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้

สรุปว่า "อย่าท้อ" ดูงานของพวกเค้าให้บอกกับตัวเองว่า "ฉันต้องทำให้ได้" แล้วเราจะภูมิใจในตัวเองว่า เราก็ทำได้เหมือนกัน


เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไร หรือในระหว่างการฝึกพัฒนาตัวเอง ก็จะมีความยากลำบากเสมอ ขอให้ทุกคนต่อสู้ อย่าท้อ อย่าน้อยใจ และอย่าล้มเลิก ขอให้มุ่งมั่นกับสิ่งที่เราตัดสินสเลือกแล้ว อย่าได้อายไม่กล้าโพสท์เพราะรูปเราไม่สวย คือ รูปของมือใหม่ ก็ไม่สวยเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ และเราก็โพสท์เพื่อฟังคำแนะนำ คำติ คำวิจารณ์ ยังไงเราก็ต้องโดนติอยู่แล้วแน่นอน เราไม่ใช่เซเลบ เป็นแค่คนธรรมดาคนนึงที่อยากถ่ายรูปเก่ง เราไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ฉะนั้นอย่าได้อาย

iLove เอง ก็ยังคงทำข้อผิดพลาดเยอะแยะมากมาย ส่วนเกินในภาพ มุมประหลาดๆ ก็ทำ ที่บอกว่า Basic การถ่ายรูป คือห้ามเบลอ แต่ภาพของพวกเราก็ยังเบลออยู่เป็นบางรูป เพราะต้องใช้เล่าเรื่องใน Content ไปลองเช็คดูได้เลยใน Go Eating ค่ะ

ก็หน้าไม่อายท้าให้ไปเช็คนะ อิอิ คือจะบอกว่า อาการอายทำให้เราพัฒนาได้ยากค่ะ เรื่องที่เราทำอยู่มันก็ยากอยู่แล้ว ยังเพิ่มอุปสรรคการอายเข้ามาอีกในเมื่อเราเลือกได้ เราก็เลือกที่จะไม่อายดีกว่า จะได้พัฒนาไปเร็วๆ ค่ะ

โพสท์ภาพส่งการบ้าน ก็เขียนไอเดีย และคอนเซ็ปท์ของภาพไว้ด้วย คนวิจารณ์จะได้วิจารณ์ได้ถูกทาง ถ้าโพสท์ภาพมา แล้วใส่ไอคอน หน้ายิ้ม หรือนับเลขมาแบบนี้ ครูไม่รู้จะพูดไปทางไหนค่ะ

สำหรับบางคนที่เกิดอาการอยากได้คำชม เริ่มจะรู้สึกว่า ทำไมภาพของเราไม่ได้รับคำชมซะที อยากให้จำคำนี้ไว้ว่า "เราทำดีพอที่จะได้รับคำชมหรือยัง" ถ้ายังไม่ดีแล้วเราต้องปรับตรงไหน พอเราปรับแล้วทำแล้ว ได้รับคำชม ถึงวันนั้นเราจะภูมิใจมากกว่า ที่เค้าจะมาพูดเอาใจ โกหกเรา เลือกเอาว่าอยากได้ความจริง หรือคำโกหก

คำชมหาง่าย เพราะไม่มีใครอยากจะมีเรื่อง หรือทะเลาะกับคุณ หรือพูดให้รู้สึกไม่ดี หรือพูดแล้วก็โดนเกลียดหรอก ฉะนั้นถ้าโดนครูติ ก็ให้มองที่เจตนาว่าเค้าพูดเพื่ออะไร ฟังแล้วเก็บมาคิด ปรับปรุง

"คำติเหมือนยาขม คำชมเหมือนขนมหวาน"

คำติฟังแล้วมันไม่รื่นหู ก็จริง แต่มันทำให้เราเติบโตและพัฒนา เหมือนยาที่ทำให้เราหายป่วยจากอาหาร ดูถูกตัวเอง หรือหลงตัวเองได้

คำชมฟังมากๆ รื่นหู แต่จะมันทำให้เราคิดว่า เราดีแล้ว เก่งแล้ว เราจะหยุดก้าวหน้า สุดท้ายก็จะล้าหลัง เหมือนขนมหวาน กินน้อยๆ สร้างความสดชื่นได้ กินมากๆ ก็อ้วน น้ำตาลในเลือดสูง ก็อาจจะป่วยตายได้ในที่สุด

สุดท้ายก็อยากบอกว่า สิ่งที่พวกเรา iLove ได้เรียนรู้มา ก็ไม่ได้หวงวิชา ไม่กั๊ก รู้อะไรก็เอามาแชร์ และก็ไม่ได้เก่งกว่าใครๆ ก็แค่ เราอาจจะเริ่มก่อนมือใหม่ทั้งหลาย มีประสบการณ์อะไร ก็อยากเล่าให้ฟัง เราอาจจะไม่ได้รู้ทุกเรื่อง มีหลายๆ อย่างที่พวกเราเองก็ได้เรียนรู้จากสมาชิกเหมือนกัน อย่างน้อยๆ iLove Board ก็เป็นพื้นที่ให้มือใหม่ที่ไม่กล้าโพสท์ที่มาโพสท์ที่นี่ได้ เรียนรู้การถ่ายรูปไปด้วย และก็เติบโตไปด้วยกันค่ะ

"Learn Together Grow Together"

รัก. . . ชุบุ ^3^

ใครอยากได้ยล ภาพที่เป็น Idol ของพวกเรา ก็คลิกที่นี่เลยค่ะ พี่เบญทำให้แล้วตามสัญญา
http://www.ilovetogo.com/BoardD/72/4632/Link-ภาพสวยสำหรับศึกษา
สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า