กล้องและเลนส์ สำหรับมือใหม่
จั่วหัวข้อแบบนี้ ไม่ได้จะชวนเสียเงินนะคะ แต่ Content นี้ เก้าจะมาแนะนำเพื่อนๆ ชาว DSLR มือใหม่ ให้ได้รู้จักประเภทของกล้อง และเลนส์ ว่าพื้นฐานแล้ว มันมีกี่ประเภท ที่เค้าขายกันอยู่ในตลาด วัตถุประสงค์ ก็อยากให้เห็นภาพรวมว่า สุดท้าย ปลายสุด DSLR มันเริ่มตรงไหน และจบตรงไหน เก้าจะไม่เน้นพวก Technical Term มากนัก ให้เข้าใจง่าย อ่านง่ายแล้วกันเนอะ
มาเริ่มที่
ตัวกล้อง กันก่อนดีกว่าค่ะ คงเคยได้ยินกันใช่มั้ยคะพวก กล้องตัวคูณ กล้องโปรฯ หรือกล้อง Full Frame มาดูประเภทกันชัดๆ ดีกว่าค่ะ
1. กล้องตัวคูณ แบบ New Entry
2. กล้องตัวคูณ แบบ Semi-Pro
3. กล้อง Full Frame
นี่คือ
กล้องตัวคูณ แบบ New Entry ที่ทีม iLove ใช้งานกัน เป็น Canon 500D ซึ่งเป็นกล้อง DSLR ตัวแรกของพวกเราเลยล่ะ เริ่มฝึกถ่ายรูป กันก็ด้วยกล้องตัวนี้ค่ะ มันจะเล็กๆ เก้าว่ามันเหมาะกับมือผู้หญิงมากเลยค่ะ แต่สำหรับผู้ชายบางคนบอกว่า มันเล็กไป จับไม่ค่อยถนัดเท่าไร (นิ้วก้อยเด้ง -___-'') ถ้าเป็นรุ่นที่ออกมาใหม่ๆ ตอนนี้ก็พวก 750D หรือ 760D
นี่คือ
กล้องตัวคูณแบบ Semi Pro คือ จะมี Function การทำงานที่มากกว่าตัวคูณแบบ New Entry ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายได้หลายภาพต่อวินาที Shutter จะอย่างรัวเลยค่ะ (ไปฟังเสียงเอาในวีดีโอ) และนอกจากนี้ ก็อาจจะระบบการใช้งานที่ง่าย และสะดวกกว่า New Entry อยู่บ้าง ถ้าเป็นรุ่นที่ออกมาใหม่ๆ ตอนนี้ก็คือ 80D
นี่คือ
กล้อง Full Frame ค่ะ เก้าว่าเป็นกล้องที่ใฝ่ฝันของนักถ่ายรูปหลายๆ คนเลยล่ะ ใครที่ได้มาเล่นกล้อง DSLR แล้ว จุดสุดท้ายของทุกคนก็จะอยากได้กล้อง Full Frame มาไว้ในครอบครองซัก 1 ตัว กล้อง Full Frame จะเหมาะกับคนที่ถ่ายรูปเป็นอาชีพ เช่น ถ่ายภาพงานแต่งงาน ถ่ายงานโฆษณา ถ่ายงาน Event ต่างๆ หรือคนที่ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรกก็จริง แต่อยากมีภาพสวยๆ ไว้ดูเล่น เพราะอาจจะมีสตางค์เหลือใช้ อิอิ ในตอนนี้ก็คือ 1DX Mark II หรือ 5D Mark IV
โดยรวมแล้ว เก้าเข้าใจว่า คนที่ใช้กล้อง Compact มาก่อน แล้วอยากก้าวเข้ามาสู่ DSLR ทุกคน ก็คงจะขอเริ่มอะไรที่ง่ายๆ ไม่แพงไว้ก่อน เพราะแค่อยากจะทดลองดูว่า ชอบมั้ย เวิร์คมั้ย แล้วเราจะใช้มันจริง และนานแค่ไหน เพราะจะว่าไปแบบ New Entry ก็ใช้ว่าจะถูกจริงมั้ยคะ แต่บางคนอาจจะลังเล คือเก้าเคยได้ยินบางคนบอกว่า ก็ไหนๆ ก็จะเล่นแล้ว อยากจะลองซื้อตัวใหญ่ (Full Frame) ไปเลย จะดีมั้ย
เก้าก็เลยมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าตัวคูณ กับ Full Frame มันมีอะไรดี ต่างกันยังไง
ตัวคูณ
ข้อดี
- เล็ก เบา เพราะวัสดุเป็นพลาสติก
- ราคาถูกกว่า Full Frame ประมาณ 3 เท่า
ข้อเสีย
- อาจจะไม่ทนทานนัก
- เซ็นเซอร์รับสัญญาณเล็กกว่า (ทำให้รับแสงได้น้อย เวลาถ่ายภาพในที่แสงไม่พอ ทำให้ต้องดัน ISO สูง ตัวเลข ISO ที่รับได้คือ 3200 แม้ว่ากล้อง 500D จะบอกว่าได้ถึง 6400 ก็ตาม แต่ภาพที่ได้ รู้สึกว่า ISO 3200 ก็สุดๆ แล้ว)
- องศารับภาพเล็กกว่า (ดูตามภาพด้านล่างเลยค่ะ)
Full Frame
ข้อดี
- ทนทานกว่าพลาสติก เพราะวัสดุทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์ (เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน อิอิ ;P) พร้อมระบบ Seal กันฝุ่นและละอองน้ำ
- เซ็นเซอร์รับสัญญาณแสงใหญ่กว่า
(ทำให้รับแสงได้มากกว่า ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า ตัวเลข ISO ที่รับได้คือ 6400 กล้อง 5D Mark IV ตอนนี้ค่า ISO ดันได้สูงสุดอยู่ที่ 102400 :D)
- องศารับภาพ ใหญ่กว่าตัวคูณ (ดูตามภาพด้านล่างเลยค่ะ)
- ทำ Dept of Field (DOF) ได้มากกว่า (เทียบกับเลนส์ตัวเดียวกัน) เห็นได้เวลาถ่ายชัดตื้น
ข้อเสีย
- (เนื่องจากทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์) ใหญ่ หนัก (แต่บางคนบอกว่า การที่มันหนัก มันดีตรงที่เวลาเรากด Shutter มันทำให้กล้องไม่สั่นไหวเพราะมันหนัก)
- ราคาแพงกว่าตัวคูณ
** เรื่องของ
องศารับภาพ คือ เมื่อเราใช้กล้องตัวคูณ และกล้อง Full Frame แต่เราติดเลนส์ตัวเดียวกันถ่ายภาพ ภาพที่ได้ จะแตกต่างกันค่ะ สังเกตว่า กล้อง Full Frame ดูเหมือนจะเก็บ Area รอบๆ ได้กว้างกล้องตัวคูณนะคะ
เก้าได้ลองเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียให้เห็นเล็กๆ น้อยๆ ไปแล้วนะคะ จริงๆ อยากจะบอกว่า ส่วนที่บอกว่าเป็นข้อเสีย สำหรับกล้องตัวคูณ เก้าก็ยังรู้สึกว่า มันก็ไม่ได้เป็นข้อเสียมากมายอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาในการทำงาน ดังนั้น ถ้าถามว่า จะต้องซื้อเดี๋ยวนี้มั้ย ?? ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เก็บเงินซื้อยังไหวอยู่ เอาแบบไม่ต้องถึงขนาด อดข้าว อดมื้อกินสองมื้อ แต่ในเมื่อเรามองเห็นช่องทางการพัฒนา ที่มันไม่ได้เป็นภาระมากเกินไป เราก็อยากทำค่ะ
ถัดจากกล้อง มาดูเรื่องของเลนส์กันบ้างดีกว่า
ประเภทของเลนส์
1. เลนส์มุมกว้าง
2. เลนส์ Normal
3. เลนส์ Tele (เลนส์ เทเล่)
มาดูที่เลนส์แรกกันเลย
เลนส์มุมกว้าง หรือเลนส์ Wide ลักษณะ หรือ Character ของเลนส์ คือ จะได้ภาพที่ดูแล้วรู้สึกอลังการงานสร้าง เหมือนกับสิ่งที่เราถ่าย ถูกถีบออกไปไกลๆ ตาของเรา ทั่วไป เลนส์มุมกว้างนี้ จะเหมาะกับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภูเขา ท้องฟ้า ทะเล ป่าใหญ่ๆ เป็นต้น หรือที่เค้าจะใช้คำว่า Landscape น่ะค่ะ อย่างถ้าเราถ่ายภาพภูเขากับท้องฟ้า เราก็จะเห็นท้องฟ้าดูใหญ่ๆ อลังๆ นั่นแหล่ะ
ภาพนี้คือหน้าตาของเลนส์มุมกว้างค่ะ รุ่นนี้ Spec นี้เลยล่ะค่ะ ที่ทีม iLove ใช้คือ Canon 10-22 มม. เวลาไปรีวิวร้านอาหาร ก็ใช้เลนส์ตัวนี้เก็บภาพบรรยากาศร้านค่ะ
สำหรับภาพนี้ เป็นตัวอย่างของความอลังการอย่างที่บอก เป็นภาพภูเขา มีทะเลสาบ มันดูแล้วรู้สึกว่า ทะเลสาบที่นี่ช่างใหญ่อลังการเหลือเกิน
ภาพนี้ใช้เลนส์ Wide ถ่ายโดยเงยกล้องขึ้น จะเห็นว่า ยักษ์ดูใหญ่โตมากเลยว่ามะคะ
ตรงนี้ ก็ใช้การเงยกล้องขึ้นเหมือนกัน คือมีความตั้งใจ จะถ่ายให้ดูยิ่งใหญ่ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความศรัทธาค่ะ
สำหรับภาพนี้ เป็นภาพบรรยากาศร้านอาหารที่เก็บด้วยเลนส์มุมกว้าง
แต่ข้อเสียของมันคือ ภาพที่ได้จะมีความบิดเบี้ยวอยู่นิดหน่อย คือ สิ่งที่อยู่ตรงขอบภาพ ก็จะโค้งๆ
หรือบางที ถ่ายแนวตั้ง ภาพมันจะออกยาวๆ แต่ถ้าเราไม่แคร์ เก้าว่า มันเวิร์คมากเลยล่ะเลนส์นี้
จริงๆ แล้ว
มันยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเก็บภาพในสถานที่แคบได้ครบด้วยค่ะ
อย่างเวลาที่ไปในร้านอาหารเล็กๆ เลนส์ Wide
ช่วยให้เก้าสามารถเก็บบรรยากาศได้ค่อนข้างครบทีเดียว อย่างร้านนี้ จริงๆ แล้วร้านค่อนข้างเล็กค่ะ แต่เราก็ยังได้ภาพที่มีรายละเอียดครบตามที่ตั้งใจไว้
และก็ยังสนุกขึ้นอีกด้วยการนำ Character ของเลนส์มาเล่นแบบนี้ คือถ้าเราเอาเลนส์ไปใกล้วัตถุ วัตถุนั้น ก็จะใหญ่ขึ้นไปอีกเป็นพิเศษ หรือจะใช้ถ่ายภาพคน ก็สนุกดีค่ะ
ใช้วิธีเอาตัวกล้องเข้าไปใกล้กะหัวของแบบด้านบนเป็นแนวกดลง
เลนส์ Normal ลักษณะ หรือ Character ของเลนส์ คือ จะได้ภาพที่สายตาคนเราปกติเห็น จะไม่เกิดการบิดเบี้ยวตามขอบภาพเหมือนอย่างเลนส์มุมกว้างค่ะ เลนส์ Normal สามารถใช้ถ่ายภาพได้ทั่วไป
ภาพนี้คือ เลนส์ Normal ชนิดหนึ่งค่ะ อันนี้เป็นเลนส์ Fix 50 มม. ตัวนี้ ก็เป็นอีกตัวที่ทีม iLove ใช้สำหรับการถ่ายภาพอาหารเวลาไปรีวิวค่ะ
นี่เป็นตัวอย่างภาพจากเลนส์ Normal ที่ใช้เก็บบรรยากาศภายในร้านอาหาร จะสังเกตเห็นว่า ไม่มีส่วนที่บิดเบี้ยว แต่จะเป็นภาพที่เหมือนกับสายตาเราเห็นจริงๆ ค่ะ
หรือถ่ายเจาะ Object ด้วยเลนส์นี้ ก็ได้เหมือนกัน
ถ่ายอาหารด้วย
ดูภาพเลนส์ Wide และเลนส์ Normal เก็บภาพบรรยากาศร้าน และอาหารได้ที่นี่ค่ะ
http://www.ilovetogo.com/AricleList/82/GoEating
เลนส์ Tele (เทเล่) เป็นเลนส์ซูมได้ ให้นึกถึงกล้องส่องทางไกลค่ะ เป็น Logic เดียวกัน
นี่คือหน้าตาของเลนส์ Tele อย่างในภาพนี้คือ เลนส์ Canon 70-200 มม.ค่ะ
เหมาะกับการถ่ายภาพที่ตัวเราเข้าไปไม่ได้ถึงสิ่งที่เราจะถ่าย หรือเราอยากจะถ่ายคนจากในระยะไกล หรือที่เรียกว่าแอบถ่าย -__-'' คืออยากได้ความเป็นธรรมชาติของคน ไม่ต้องเก๊กหน้าเวลาโดนถ่ายรูป เลนส์ประเภทนี้มีประโยชน์มาก เราจะสามารถซูมเค้าได้จากที่ไกลๆ ค่ะ จริงๆ ภาพนี้ จุดที่ถ่ายภาพเชฟคนนี้ อยู่ไกลมากเลยค่ะ เค้าไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเค้าโดนถ่ายภาพอยู่
หรือสวนสัตว์ อย่างตอนที่เก้าไปเขาเขียว เก้ายืนอยู่ไกลระดับหนึ่งจากกรงลิง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไกลมากนะคะ เราอยากจะเก็บภาพลิง แต่พอถ่ายภาพออกมา มันตัวเล็กมากๆ (คือเก้าใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายค่ะ) แต่ถ้าเราใช้เลนส์ที่ซูมได้ ก็จะได้ภาพลิงที่ตัวใหญ่ขึ้นค่ะ ภาพนกนี้ก็เหมือนกันค่ะ อยู่ไกลมาก แต่สามารถถ่ายภาพออกมาเห็นตัวนกชัดเจนเลย
มาถึงตรงนี้ สิ่งที่ได้พูดถึงไปแล้วก็จะมี เกี่ยวกับตัวกล้อง เกี่ยวกับเลนส์ คราวนี้ เก้าจะมาแยกประเภทของเลนส์กันในอีกมุมมองคือ
1. เลนส์ธรรมดา
2. เลนส์ L
เลนส์ L มาจากคำว่า Luxury แปลตามตัวว่า หรูหรา โดยลักษณะภายนอก เราจะแยกว่าเป็นเลนส์แอลได้คือ ให้สังเกตที่ตัวเลนส์ จะมีขอบสีแดงๆ อยู่ บางคนจะเรียกเลนส์แอลว่า เลนส์ขอบแดง (ตามภาพเลนส์ Tele ด้านบน นั่นคือเลนส์แอลค่ะ)
เลนส์ธรรมดา ก็คือเลนส์ที่ไม่มีขอบแดงนั่นเอง (อย่างเลนส์มุมกว้าง หรือเลนส์ Normal ตามภาพด้านบนๆ)
เลนส์แอล ทำไมใครๆ ก็อยากได้เลนส์แอล ??
เพราะคุณภาพของกระจกเลนส์ดีกว่า เลนส์ธธรรมดา ดังนั้นภาพที่ได้ จะมีสีสัน ที่เค้าเรียกกันว่า อิ่มสีกว่า สดกว่า คมกว่า มันก็เลยมาพร้อมกับราคาที่แพงกว่าค่ะ
จริงๆ แล้วในช่วงแรก เราอาจจะยังไม่คิดว่า จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก หรือจ่ายแพงไปทำไมล่ะ แต่พอถ่ายภาพมาได้ระยะหนึ่ง เราจะเริ่มมีความอยากมากขึ้น โดยเฉพาะพอถ่ายภาพแล้ว แล้วก็ดูข้อมูล และรูปภาพจากคนอื่นมากขึ้น เราก็อาจจะเริ่มมองๆ หาเลนส์แอลบ้างก็เป็นได้ค่ะ ถึงเวลานั้น ก็จะมีคำตอบให้ตัวเองได้เลยว่า คุ้มมั้ยที่จะลงทุน บางคนบอกว่า การลงทุนเลนส์แพงๆ ไม่ได้ทำให้ภาพออกมาสวยเสมอไป มันอยู่ที่มุมมองการจัดองค์ประกอบต่างหาก เก้าก็เห็นด้วยส่วนหนึง เก้าคิดว่าของแบบนี้มันอยู่ที่ความรู้สึกต่างหากว่า ภาพออกมาแบบนี้ เรามีความสุขหรือเปล่า ถ้ามีก็จบใช่มั้ยคะ
ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะแชร์ให้ได้รู้กันไว้ เผื่อว่าต้องไปซื้อเลนส์เองค่ะ
อยากให้รู้จัก Feature ที่ชื่อว่า
Ultra Sonic Motor (USM) ถ้าดูที่เลนส์ มันจะมีคำนี้บอกไว้ด้วยค่ะ แล้ว USM มันคืออะไร ?
มันช่วยให้ Focus ได้เร็วค่ะ
ถ้าอย่างเลนส์ Fix 50 มม. ที่ใช้อยู่จะไม่มี USM นะคะ มันโฟกัสได้ช้าทีเดียว โดยปกติเราจะไม่รู้สึกว่ามันช้าหรอก แต่มันจะช้าเมื่อตอนที่เรารีบค่ะ อย่างเวลาไปรีวิวปิ้งย่าง ด้วยเวลาจำกัด เก้าจะรู้สึกว่าเริ่มรำคาญนิดหน่อย และเวลาที่เราโฟกัส จะมีเสียงครืดคราดๆ (ลองฟังในวีดีโอดูค่ะ) แต่อย่างอีกเลนส์ที่มี USM จะโฟกัสได้เร็วทันใจ และไม่มีเสียงครืดคราดๆ
อีกหนึ่ง Feature ที่อยากแนะนำคือ
กันสั่น ซึ่งมีชื่อไฮโซว่า
Image Stabilizer (IS)
มันจะช่วยให้เราสามารถถือกล้องถ่ายได้มากกว่าเดิม หมายความว่า ถ้ายังจำได้เรื่อง Speed Shutter ทางยาวโฟกัสเท่าไร เราควรจะถือกล้องถ่ายที่ Speed Shutter เท่านั้น เช่น ทางยาวโฟกัส 80 ต้องถ่ายที่ Speed Shutter 1/80 ถ้าต่ำกว่านี้ ภาพมีความเสี่ยงว่าจะเบลอ โดยเฉพาะใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนมือสั่น ก็จะเบลอแน่นอน ระบบ IS ก็เลยเข้ามาช่วยให้เราสามารถถือได้ใน Speed Shutter ที่ต่ำกว่า 1/80
แต่ตัวเก้าเองก็ยังเคยงงว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า มันช่วยเราได้แค่ไหน ถ้าบอกว่า ถือได้ต่ำกว่า 1/80 นะ แล้วมันต่ำกว่าแค่ไหนล่ะ 1/50 จะยังได้อยู่มั้ย หรือ1/10 ก็ยังได้หรอ ???? เก้าก็เลยไปหาคำตอบมา ณ บัดนาว
ทำให้ได้มาเจอว่า เลนส์ 70-200 มม. มันกันสั่น 4 Stop นะ ..... ก็งงหนักเข้าไปอีกว่า Stop ของกันสั่นมันคืออะไร ??
จริงๆ แล้วคำว่า Stop ในที่นี้ จะหมายถึง Stop ของ Shutter Speed นะคะ กันสั่น 4 Stop มันหมายถึง
ถ้าทางยาวโฟกัส 80 เราถือได้ 1/80
Stop ที่1 คือ จาก 1/80 เราสามารถลด Speed Shutter ลงได้เหลือ 1/40
Stop ที่2 คือ จาก 1/40 เราสามารถลด Speed Shutter ลงได้เหลือ 1/20
Stop ที่3 คือ จาก 1/20 เราสามารถลด Speed Shutter ลงได้เหลือ 1/10
Stop ที่4 คือ จาก 1/10 เราสามารถลด Speed Shutter ลงได้เหลือ 1/5
(เก้าสมมตตัวเลขให้มันหารลงตัวเพื่อจะได้เห็นภาพง่ายๆ ถ้าเป็นเลขอื่นก็ลองคำนวณดูนะคะ)
ดังนั้น ถ้ากันสั่น 4 Stop เก้าต้องถือได้ที่ 1/5 ที่ทางยาวโฟกัส 80 จริงหรอ ???? ต้องพิสูจน์ค่ะ
จากภาพ ก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ เก้าโฟกัสไปที่ป้าย Canon มันเบลอค่ะ ไม่เวิร์ค สำหรับเก้านะ เก้าถือไม่ได้ แต่ถ้าใครคิดว่า มือนิ่งพอ ก็อาจจะถือได้ แต่สำหรับเก้าแล้ว ไม่ไหวค่ะ เก้าก็เลยขอเพิ่มเป็น 1/10 แล้วกันนะ (คิดที่กันสั่น 3 Stop) ดูว่าจะรอดมั้ย
อันนี้ 1/10 รอดนะ พอไหวนะคะ ทำให้เรารู้ว่า ต่อให้เราถ่ายภาพในที่แสงน้อย จนได้ Speed Shutter ที่เราถือไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเราเปิด IS มันก็จะช่วยได้ถึง 3 Stop นะ น่าสนใจนะเนี่ย : D
ขอเสริมก่อนจะไปนะคะ เก้าอยากแนะนำ ให้คนที่เพิ่งเริ่มใช้ DSLR ลองไปเล็งๆ เลนส์ Fix 50 มม. F1.8 และ เลนส์ Wide 10-22 มม. เป็นเลนส์ที่เทพแนะนำมาอีกที ก็เชื่อเค้า และก็รู้สึกว่า มันดีจริงๆ ค่ะ อย่าง Fix 50 เก้าใช้ถ่ายภาพอาหารที่ไปรีวิวน่ะค่ะ เก้าว่ามันเป็นเลนส์ที่ดีมากๆ คุ้มมากๆ ไม่ผิดหวังเลย มันทำให้เก้าได้ภาพได้อย่างใจทุกที ราคาก็ไม่แพง 3 พันกว่าบาท และเลนส์ 10-22 มม. ก็ดีเหมือนกัน ราคาประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท เก้าไม่เคยรู้สึกผิดหวังกับเลนส์ 2 ตัวนี้เลย ในความเห็นเก้านะ เก้าว่ามันคุ้มค่าจริงๆ ค่ะ แต่ยังไง ก็ลองไปจับๆ เอากล้องไปลองใส่ และถ่ายภาพดูก่อนนะคะ
สุดท้าย อยากบอกว่า อุปกรณ์ดีๆ มีไว้สำหรับทำให้จินตนาการของเราเป็นจริงค่ะ
ขอใช้คำพูดของพี่ Dust ในเว็บ Pixpros.net ว่า "ขอให้ถ่ายภาพอย่างมีความสุข" นะคะ