รีวิว Olympus OM-D E-M10 II
สำหรับ review นี้ บอกวิธีการใช้กล้องของผมก่อน เพราะผมจะรีวิวไปตามการใช้งานจริงของผมนะครับ
สำหรับ review นี้ บอกวิธีการใช้กล้องของผมก่อน เพราะผมจะรีวิวไปตามการใช้งานจริงของผมนะครับ
ผมเป็นคนที่ถ่าย RAW - JPG สำหรับ JPG ผมใช้สำหรับอัพ Social media เช่น Facebook หรือ
Instagram ตอนไปเที่ยว ส่วน RAW มาจะเอามา Process ใน Adobe Light room
ภาพที่เห็นในรีวิวนี้ทั้งหมด จบที่ Light room และทำ Smart Sharpen ที่ Photoshop
อย่างที่เคยทำคลิปให้ดูนะครับ ภาพส่วนใหญ่แค่ปรับมืดสว่างแล้วจบ เพื่อคง Character ของกล้องไว้
และบางภาพแต่งโทนให้ดูซีดๆ Hipster เพื่อให้เห็นว่า ไฟล์กล้องมัน support
โทนภาพตามแฟชั่นได้ประมาณไหน
ผมได้กล้อง Olympus ติดเลนส์คิท 14-42mm F3.5-5.6 มาวันศุกร์ก่อนไปญี่ปุ่น 2 วัน
วันอาทิตย์เลยเอาไปถ่ายงานคอสเพลย์ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นนิดหน่อย
เพื่อจะได้ทำความรู้จักกับมันก่อนไปใช้งานจริง วันจันทร์เดินทางไปญี่ปุ่น ภาพก็จะแบ่งเป็น 2 ช่วงนะครับ
และเลนส์ที่ผมใช้ทั้งหมด จึงเป็นภาพจากเลนส์ 14-42mm ตัวนี้ตัวเดียวเลย
นี่คือครั้งแรกที่ผมได้จับกล้อง Olympus...
ผมไม่ใช่คนถ่ายรูปแบบชิลๆ ผมชอบที่จะได้คุณภาพภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมขอยอมรับตรงๆเลย
ผมไม่ชอบกล้อง sensor เล็กๆอย่าง micro 4/3 มากๆ เพราะด้วยความที่ sensor มันคูณ 2
มันทำให้อิสระในการดีไซน์ภาพลดลง เพราะเราเบลอหลังได้ยากขึ้น
การได้รับโอกาสในการทดสอบกล้องตัวนี้ จึงเป็นเรื่องที่หนักใจพอสมควร แต่เอาละ
ผมตัดสินใจทิ้งอคติไปทั้งหมด แล้วรีเซ็ททุกอย่างกับกล้องตัวนี้
ช่วงเวลาที่เทสต์กล้องตัวนี้ ผมใช้มันอยู่ตัวเดียว ไม่ใช้ตัวอื่นเลย โอเค เราจะมีแค่กันและกันนะ EM10 II
ก่อนเดินทาง ผมเอากล้องไปทดสอบด้วยการยิงแฟลชติดเจลสี solution ของผมคือ มีแฟลชร่ม 1
แฟลชหลังติดเจลสี 2 ยิ่งสร้างบรรยากาศ ตัวกล้องติดกับ Trigger สั่งแฟลชร่มให้ยิง ส่วนแฟลชหลัง 2
ตัวตั้งเป็น slave แบบ IR โหมดถ่ายภาพที่ใช้คือโหมด M ภาพที่ยิงแฟลชใช้ WB Flash ภาพที่ไม่ยิงใช้ WB
auto บ้าง Day Light บ้าง
ถือว่ากล้องตัวเล็กตัวนี้ ทำงานกับแฟลชได้ดีเลย
ต่อไปเป็นเรื่องของ Skin Tone ผมว่า Skin tone ของ Olympus ทำได้โดดเด่นและสวยงามเลยนะ
ผิวคนได้เป็นสีออกส้มๆสวยๆ
กล้องใช้งานได้ไม่ยากสำหรับคนเพิ่งเคยใช้ Olympus เป็นครั้งแรกอย่างผม
ถือว่าควบคุมได้ไม่ต่างกับกล้องที่เคยใช้ผ่านๆมา แค่เมนูมันเยอะเท่านั้นเอง แต่ความเยอะของมัน
ถ้าค่อยๆอ่านดีๆ จะเห็นว่ามัน group เอาไว้อย่างโอเคระดับหนึ่งเลย จำที่จะต้องเข้าไปปรับได้ไม่ยาก
หลังจากได้ทำความคุ้นเคยกับกล้องมา 1 วัน วันถัดไปผมก็ออกเดินทางไปญี่ปุ่น
เป้าหมายในการใช้งานกล้องตัวนี้ของผมคือ การเก็บภาพท่องเที่ยว
ผมก็ทดสอบถ่ายไปตลอดตั้งแต่เริ่มทริปเลย ระหว่างการเดินทาง มีเวลาผมก็ถ่ายโน่นถ่ายนี่ไปเรื่อย
โหมดถ่ายภาพของผมคือโหมด A ไม่มีการชดเชยแสง auto white balance, auto ISO คือพูดง่ายๆ
กลายเป็น auto ไปเลย
ผมไปถึงญี่ปุ่นตอนกลางคืน และเริ่มต้นออกเที่ยวที่เกียวโตตอนเช้า
เป้าหมายคือไปดูใบไม้เปลี่ยนสีตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
ที่แรกที่เราไปเที่ยวคือ วัดกินคะคุจิ ผมก็เทสต์ถ่าย Land นิดๆหน่อยๆ
และก็อย่างที่บอก ผมตั้งใจมาเก็บภาพท่องเที่ยว ก็คงไม่พ้นถ่ายคนในทริป
เลนส์มุมกว้าง 14mm พอเอามาคูณ 2 ก็เท่ากับ 28mm บน full frame ถามว่า Selfie ได้ไหม? ทำได้นะครับ
ภาพข้างบนนี่ถ่ายย้อนแสงนะครับ ถ่ายมามืด เอามาดึงได้ดีงามอยู่
จากนั้นผมก็ถ่ายใบไม้เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ด้วยโหมด A auto WB auto ISO ไปตามทาง
จนมาถึงวัดเอคันโด อันนี้ถือว่าได้ถ่ายแนวๆ Land บ้างไรบ้าง
เมฆที่เห็นเป็นก้อนๆนั่นดึงกลับมาได้ดีงามอยู่
กล้องเล็ก เลนส์สั้น ถ่ายสนุก เฟรนด์ลี่
ถ่ายเก็บบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี
รายละเอียดความคมของเลนส์คิท ผมว่ามันโอเคอยู่นะ
ถ่ายแบบ Hipster เอา object มาบังๆฉากหลัง
ช่วงเมืองเก่าเกียวโต ภาพช่วงนี้ทำสีซีดๆเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ
ฝนตกตลอด ภาพส่วนใหญ่จึงเป็นภาพ Snap นับว่ากล้องโฟกัสได้เร็วมากๆ เร็วแบบไม่น่าเชื่อ
จะบอกว่าเอากล้องไปทรมานก็ได้ คือฝนมันตกตลอด กล้องก็โดนฝนบ้างไรบ้าง ก็นะ เค้าให้มาเทสต์
ก็จัดให้เต็มๆ กล้องโดนฝนนิดๆหน่อยๆยังรอดดีอยู่ แต่คนนี่หมดสภาพ
อีกวันมาที่อาราชิยามะ เป็นเขาที่มีใบไม้เปลี่ยนสีทั้งลูก ฝนตกตลอดเหมือนเดิม
กล้องเล็กเนี่ยแหละดีงาม สถานการณ์หนักๆ เหนื่อยๆ หยิบขึ้นมาถ่ายไม่เป็นภาระ
มาวัดคินคะคุจิ คนมหาศาลมาก เบียดๆเข้าไปเก็บภาพนิดๆหน่อยๆ
ตรงท่าเรือ Kobe หน้าห้าง Mosaic มืดพอควร ดัน ISO เข้าไป 1600 สำหรับกล้องเล็กๆ ISO 1600
ทำได้แบบนี้ถือว่าดีงาม
มีถ่าย Land บ้างไรบ้าง ไม่มีขาตั้งกล้อง ใช้ speed 1/8 F4.3 ISO 1600 ถ่ายที่ 22mm ณ จุดๆนี้ กันสั่น 5
แกนของกล้องถือว่าเป็นพระเอกเลย ไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องก็เก็บภาพ Land ดีๆได้ แต่ก็นะ ถ้ามีขาตั้งกล้องก็
ISO 100 + ทำน้ำนิ่งได้ แต่ต้องแบกขามาตั้งแต่เช้า เพื่อภาพนี้ภาพเดียว คุ้มหรือป่าวต้องชั่งใจกันดู
งาน snap สำหรับกล้องที่โฟกัสเร็วนี่ไม่ใช้เรื่องยากเลย
เดินทางมา Kobe Animal Kingdom มาถ่ายแฮมทาโร่
ภาพส่วนใหญ่ถ่ายแนวนักท่องเที่ยวครับ เพราะตั้งใจใช้กล้องให้เป็นกล้องสำหรับนักท่องเที่ยว
กดถ่ายทุกอย่างที่มีเวลา โหมด Auto Focus แบบ Wide ทำงานได้ดีเยี่ยม แม่นยำ
ตอนเย็นก็แวะไป Shopping เก็บภาพสี่แยกโกเบซะหน่อย
งาน Portrait แสงธรรมชาติในสวนล่ะ โอเคไหม? มโนว่าสวนรอบปราสาทโอซาก้าเป็นสวนรถไฟแพรบ
แล้วถ่ายแบบที่เคยๆ
เลนส์ตัวนี้เบลอหลังแทบไม่ได้นะครับ
ดังนั้น ถ้าเบลอหลังไม่ได้ ก็หาองค์ประกอบที่ต้องการให้มันชัดทั้งภาพไปซะเลยดีกว่า
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกเบลอหลังไม่ได้? ป่าวหรอก ซูมสุดที่ 42mm F5.6 ถ่ายครึ่งตัว ก็ถือว่าพอไหวอยู่นะ
มาถ่ายซิตี้อีกนิด หอคอยซึเทนคาคุ สัญลักษณ์โอซาก้า
เลนส์คิท ช่วง 14mm เท่ากับ 28mm บน FF ถือว่ากว้างระดับพอใช้ได้ ไม่ได้พอใจเท่า 24mm บน FF
แต่ความกว้างของมันก็เก็บอะไรได้ครบอยู่
เจออะไรก็ถ่ายไปเรื่อยครับ
มาตรงพื้นที่เก๋ๆ งานแนว Hipster ก็ต้องมา
อันนี้ไม่ Hipster แต่เริ่มจะถ่ายให้ขำๆละ
Dynamic Range เพียงพอต่อการเก็บภาพ ถ้าหันหน้าให้ถูกทาง
เพียงพอเหรอ? อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ลองย้อนแสงหนักๆดูไหม? มันเก็บฟ้าได้ดีงามกว่าที่คิดนะผมว่า
เรียกว่ากล้องใหญ่ๆมีสะเทือน
งาน snap แบบเร็วๆก็ได้ ลองภาพนี้เด็กเค้าอยู่ๆก็วิ่งเข้ามา นิ้วผมก็กระตุกไปกดชัตเตอร์พอดี ถึงจะไม่ได้เข้า
100% แต่ภาพที่ได้ก็ไม่ได้ถือว่าเสีย
ภาพย้อนแสงตามแสง กล้องและเลนส์ตัวนี้ทำได้ดีกว่าขนาดตัวของมันมาก เรียกว่าประทับใจ
ขนาดภาพย้อนแสงยังจัดการได้ดีขนาดนั้น ภาพถ่ายรูปเล่นแนว portrait นี่ชิลๆ ถ่ายมาแล้วมาแต่โทนซีดๆ
ฟิล์มๆ Hipster บ้างไรบ้างก็ว่ากันไป
มาถึงงานหนักของกล้องทุกกล้อง ที่จะต้องเจอเวลาไปเที่ยว นั่นคืองานแสงน้อยๆ ตรงแฮรี่พอตเตอร์
จุดนี้แสงน้อยมาก ภาพนี้ดัน ISO อัดเข้าไป 3200 คุณภาพก็ประมาณนึง พอไหว แต่หันกลับมาดูราคากล้อง
+ ขนาด เฮ้ย มหัศจรรย์ ถ่ายที่ 14mm F4 Speed 1/15 เอาชัวร์ ตอนนี้หนาวแล้ว มือสั่น
F4 speed 1/15 ISO 3200
F4 speed 1/15 ISO 3200
F4 speed 1/15 ISO 3200
จบแล้วเรื่องคุณภาพไฟล์ ที่เหลือก็เรื่องพื้นฐานง่ายๆ มาเรื่องความสุขตอนใช้งานกล้องกันดีกว่า
มีกล้องไม่กี่ตัว ที่จะทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเวลาใช้นะ อันนี้ผมพูดจริงๆ และ OM-D EM10 II
ก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมชอบอะไรของมันบ้าง?
เสียชัตเตอร์เท่บาดใจ เสียงเพราะ ไม่ดังมาก ดูมีสไตล์ อันนี้ชอบสุดๆ
ตัวกล้องดูดีมาก น้ำหนัก + การจับถือ ถือว่าทำได้สบายๆ
ปุ่มควบคุมต่างๆ ใช้การหมุนแบบ classic หนุนง่าย ฟิลลิ่งการหมุนรู้สึกดีมาก รู้สึกว่าเป็นของดี
ไม่ใช่ปุ่มหมุนแบบกิ๊กก๊อก ชอบจริงๆอันนี้ และปุ่มเปิดปิดแบบ classic ใช้การปัดก้านเอา
ทำให้รู้สึกถึงฟิลลิ่งเก่าๆย้อนยุค
LCD สามารถพับขึ้นลงได้นิดหน่อย อันนี้ผมเฉยๆ พับได้ก็ดี พับไม่ได้ก็ไม่ได้อะไรนักหนา ได้ใช้ไหม?
ก็ได้ใช้บางช็อต
ขนาดกล้องเล็กจิ๋วมาก เมื่อเทียบกับผู้ชายตัวโตๆ กล้องดูไม่น่ากลัว ดูเป็นมิตร
ไฟล์ JPG กับ ไฟล์ RAW และการแสดงผลที่หลังจอ LCD ของกล้องตัวนี้ มันทำได้ใกล้เคียงกันมาก
ไม่มีปัญหาว่า หลังจอ LCD สวย พอมาเปิด RAW ในเครื่องแล้ว โหย ถ่ายอะไรมาวะเนี่ย
ไอ้ที่สวยๆหลังกล้องมันหายไปไหน อะไรแบบนี้
ผมมั่นใจว่า ภาพที่ได้ คือภาพที่ได้จริงๆ และรู้ว่า ถ้าได้ภาพแบบนี้จริงๆ
เวลาไปปรับมืดสว่างและทำโทนภาพใน LR ผมจะได้อะไรตั้งแต่ตอนเห็นภาพหลังกล้องเลย
ความรู้สึกตอนใช้กล้องตัวนี้ อันนี้เป็นการมโนเอาล้วนๆ ผมรู้สึกถึงความหล่อ
ผมเห็นโทนฟิล์มในหัวแทบทุกช็อต ไม่รู้ทำไมนะ อาจจะเพราะรูปร่างหน้าตามัน
หรือเพราะเคยเห็นคนอื่นใช้แล้วเอามาแต่งโทนสวยๆ หรือเพราะเสียงชัตเตอร์เพราะๆของมันกันแน่
ทำให้ทุกช็อตที่ผมกด ผมมั่นใจก่อนที่จะกลับมา process รูปใน LR ซะอีก
บทสรุป กล้องตัวนี้เหมาะกับการพกพาไปท่องเที่ยวไหม? เหมาะมาก
และแนะนำเลยสำหรับคนที่อยากได้กล้องอะไรที่ถ่ายง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก จัดองค์ประกอบ
แล้วกดชัตเตอร์อย่างเดียวเลยเหมือนที่ผมทำ ผม auto เกือบหมดนะครับทริปนี้ โหมด AV auto ISO auto
WB focus แบบ Wide คือพูดง่ายๆว่าปรับแค่ค่า F และจริงๆก็ไม่ได้ปรับด้วยซ้ำ ผมฟิกซ์ไว้เลยที่ F
กว้างสุดเท่าที่กล้องจะทำได้ นั่นคือ F3.5 และถ้าซูมไปสุด ก็ F5.6 ผมปรับแค่นี้จริงๆ
ถือเป็น First impression กับ Olympus ที่ผมประทับใจมาก ขอบคุณที่เอามาให้ลองนะครับ
ภาพที่ถ่ายกันที่ universal studio osaka