เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 7
เช้าวันที่ 7 ของทริปญี่ปุ่น ภารกิจวันนี้คือการตามล่าหา Cosplay ที่ ฮาราจูกุ ซึ่งเป็นที่ๆวัยรุ่นญี่ปุ่นจะมาอัดแน่นรวมกันที่เน่..
วันนี้เราเลยจะไปอยู่ฮาราจูกุกันในช่วงเช้าไปจนถึงบ่ายเลย ครั้งนี้นอกจากจะเป็นการถ่าย Cosplay ครั้งแรกของพวกเราแล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคอีกอย่างคือ
"ตรูจะสื่อสารกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย??" จะขอถ่ายรูปหน่อยจะบอกไง?? เลยไปถาม Front โรงแรมว่า "ขอถ่ายรูปหน่อย พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าอะไร?"
เค้าก็บอกว่า “โดะโสะ อะนะตะโนะ ฉะชินโอ๊ะ โต๊ดเต๊ะ คุดาไซ่”
แปลว่า “ขอถ่ายรูปของคุณได้ไหมคะ”
ประโยคนี้เอาไปใช้ได้เลย
ที่เตรียมมาแบบนี้เพราะเคยได้ยินว่า บางที Cosplay ญี่ปุ่นเค้าก็ไม่ค่อยอยากให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แต่ถ้าเราขอเค้าเป็นภาษาญี่ปุ่น เค้าอาจจะให้ถ่ายก็ได้ เลยเตรียมมาก่อน
ทริปวันนี้ เราจะขอเปลี่ยนยี่ห้อรถไฟละกันนะเพื่อความหลากหลาย เราจะได้นั่งสายอื่นเป็นบ้าง วันนี้เราจะไปใช้
JR Yamonote Line
อ่านว่า
ยามาโนเตะ ไลน์ อ่ะนะ โดยเราจะนั่งจาก
สถานี Okachimachi ไปลงที่
สถานี Harajuku
(ขอบคุณภาพจาก :
http://tokyomoob.wordpress.com/)
JR Yamanote เป็นสายรถไฟในโตเกียวที่วิ่งวนเป็นวงกลม (จากในภาพให้ดูวงกลมสีเขียวนะ) และจะหยุดตามสถานีที่เป็นจุดท่องเที่ยวฮิตๆ อย่างเช่น ชินจูกุ ฮาราจูกุ อูเอโนะ เป็นต้น
การที่มันวิ่งเป็นวงกลมแบบนี้ ทำให้นั่งง่ายไม่สับสน นักท่องเที่ยวที่มาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะใช้รถไฟสายนี้หล่ะ ประมาณว่าถ้านั่งเลยสถานีก็นั่งวนกลับมาใหม่อีกรอบก็ได้
ใครเพิ่งเริ่มเที่ยวญี่ปุ่นและกลัวจะหลง ลองทดลองนั่งสาย Yamanote ก่อนก็ได้จะได้ชินกับการนั่งรถไฟญี่ปุ่น
(ขอบคุณภาพจาก :
http://www.jreast.co.jp/E/destinations/tokyo/)
แต่บังเอิญว่าเราตั้งต้นที่สถานี H14 ดังนั้น เราต้องไปลงสถานี H16 Naka- okachimachi ก่อนแล้วก็เปลี่ยนสายเป็น JR Yamanote Line
พอถึง H16 เมื่อเราติ๊ดบัตรออก ความมึนงงก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนพวกเราอีกครั้งหนึ่ง เอิ่มมมม จะเลี้ยวไปทางไหนดี ดูมันน่าเลี้ยวไปซะทุกทิศทุกทางเจงๆ
แต่ในที่สุดเราก็เจอป้ายสัญลักษณ์ JR สีเหลืองๆนี่หล่ะ ก็ตามสัญลักษณ์นี้ไปเรื่อยๆเลย
เราก็จะคอยมองหาป้ายเหลืองๆไว้ ถ้าเจอแล้วก็เดินตามลูกศรไปได้เลย ตามป้ายเนี้ยบอกว่า ต้องไปออกทางออก A6 แล้วถึงจะเจอ JR Yamanote Line
คอยมองหาป้ายเหลือง และดูว่าเค้าชี้ไปที่ JR Okachimachi Station นะ ที่เค้าเขียนว่า Okachimachi เข้าใจว่ามันคือรถไฟสาย JR Yamanote สถานีชื่อ Okachimachi เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ
พอเห็นป้ายแบบนี้ก็ตามลูกศรไปออกทางออก A6 เลย
เราต้องออกมาจากสถานี Subway ก่อนนะ แล้วก็เลี้ยวซ้าย เดินตรงมาตามถนนที่มีร้านขายของเยอะๆ เดินไปนิดเดียว มันจะมีแยกอยู่ ให้เลี้ยวขวาตรงแยก จะเจอ JR Yamanote line มันเหมือนกับสถานี JR มันอยู่ใต้ทางรถไฟอ่ะ ทางเลี้ยวเข้ามันจะมืดๆหน่อย
จะเห็นว่าวิวตรงนี้เหมือนตลาดอะเมโยโกตรงอูเอโนะเลย ใช่แล้ว..เพราะสถานี Okachimachi จะอยู่ใกล้กับ Ueno นะ
พอเลี้ยวไปป๊าบ เราจะเห็นป้าย JR บอกว่านี่คือ Okachimachi Station แสดงว่ามาถูกแล้วนะจ้ะ
พอเราเลี้ยวเข้ามาในสถานี ก็จะเจอตู้ซื้อตั๋วรถไฟเลย เข้าไปซื้อตัวกัน
เราก็ใช้ step เดิมคือดูว่าสถานีที่เราจะไป ราคาเท่าไหร่ ซึ่งจากสถานี Okachimachi ไป Harajuku ราคา 190 เยน เราก็ไปที่ตู้กดแล้วเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ > เลือกปุ่มบนที่เขียว่า JR Line Ticket > กดราคา 190 เยนที่หน้าจอได้เลย
แต่ถ้ามากันเป็นกลุ่ม ก็มากดจำนวนคนได้ที่ปุ่มข้างๆนี้ จะได้ซื้อทีเดียวไปเลย อย่างอันนี้เรากดรูปคน 3 คน โดยเลือกราคาตั๋วใบละ 190 เยน เครื่องเค้าก็จะรวมราคามาให้เลย
ได้ตั๋วมาแล้ว อันนี้คือหน้าตาของตั๋วรถไฟสาย JR Yamanote เอาหล่ะ..ไปขึ้นรถไฟกันดีกว่าเนอะ
การขึ้นรถไฟสาย JR Yamanote ก็อีกบรรยากาศนึงเลยนะ ปกติเราใช้ Tokyo Metro จะอยู่ใต้ดิน แต่ของ JR Yamanote อยู่บนดิน เราเลยได้รู้สึกว่าเป็นรถไฟที่สว่างสไว และได้ดูวิวนู่นนี่บนรถไฟด้วย
รถไฟมาแล้วววว ตอนนี้ 10 โมง 15 กว่าเราจะไปถึงฮาราจูกุ ก็น่าจะอีกสัก 30 นาที คงใกล้ 11 โมง พวกร้านอาหารคงจะทยอยเปิดกันแล้วหล่ะ ตอนนี้รู้สึกหิวข้าวมากๆแล้ว
นั่งไปปรู๊ดเดียว เราก็มาโผล่ที่ฮาราจูกุแระ และที่เห็นข้างหน้าคือถนน shopping ของฮาราจูกุ ชื่อว่า ทาเคชิตะ โดริ (Takeshita dori) คำว่า Dori แปลว่า “ถนน”
ตอนนี้เกือบ 11 โมงแระ ใช้เวลานั่งรถไฟมาประมาณ 30 นาทีเอง
ตอนออกจากสถานี JR ให้ไปทาง Takeshita Exit นะ โผล่ออกมาจากทางออก เราจะเห็นถนนทาเคชิตะ อยู่ฝั่งตรงข้ามแบบนี้เลย เราก็แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง
เดินเข้าไปกันดีกว่า ตอนนี้จุดมุ่งหมายของเราคือ ต้องหาอาหารเช้าทานก่อน เพราะตอนนี้หิวมากกก
จริงๆแล้ว เรื่องการทานข้าวเช้า ก็เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ในการเที่ยวต่างประเทศของเราเหมือนกัน ถ้าเราออกจากโรงแรมเช้า ร้านอาหารเค้ายังไม่เปิดกันหรอกนะ ส่วนใหญ่เค้าจะเปิดตอน 11 โมง พอเราหิ้วท้องรอให้ร้านเปิด มันจะทำให้เราไม่มีแรง ซึ่งการกินตอน 11 โมงนี่มันเกือบจะเป็นข้าวเที่ยงอยู่แล้ววว
สุดท้ายการเดินทางในครั้งต่อๆไปของเรา ก็จะวางแผนไว้เลยว่า เราจะออกกี่โมง ก่อนออกเราก็จะซื้ออาหารเช้าจาก Minimart มาทานก่อน เอาให้อิ่มพอประมาณ เพื่อจะได้มีแรงในการเดินทางไปที่เที่ยว
ถึงจะกินไม่ค่อยลง แต่เราก็ต้องกิน ตอนแรกคุณอาจจะยังไม่หิว พอเดินทางไปสักหน่อยมันจะเริ่มหิวล่ะ เพราะเราใช้แรงในการเดิน หาสายรถ มองหาป้าย หรือการขึ้นรถ แล้วพอหิวมันก็เริ่มไม่มีสมาธิในการจะทำอะไรๆแล้ว และ speed การเดินก็จะช้าลง การทานอาหารเช้าก่อนไปเที่ยวสำหรับเราจึงสำคัญมากๆๆๆ
ดังนั้น นักเดินทางทุกคน.. "อย่าลืมทานอาหารเช้าก่อนออกเดินทางนะจ้ะ ^^
"
เอาหล่ะ มาเล่าเรื่อง ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Dori) กันระหว่างเดินหาร้านอาหารกันดีกว่า
ถนนทาเคชิตะ เป็นถนนแคบๆเล็กๆ ความยาวประมาณ 400 ม. เป็นซอยไม่ใหญ่มาก อยู่ใน ฮาราจูกุ เป็นแหล่งรวมแฟชั่นวัยรุ่น ในวันอาทิตย์จะมีวัยรุ่นมาแต่งคอสเพลย์เดินเล่นกันที่นี่ เราก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเก็บภาพเหล่าคอสเพลย์ญี่ปุ่นไปให้ได้
2 ข้างทางที่เราเดินผ่านมาจะมีร้านขายของแฟชั่นสีสดใส อยู่เยอะม๊ากกก ทั้งร้านเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า กิ๊บติดผม กิ้ฟช้อป ร้านขายรูปดารา เต็ม 2 ข้างทางเลย
อีกอย่างคือร้านขนม โดยเฉพาะ ร้านเครปสไตล์ญี่ปุ่น ถือว่าขึ้นชื่อมากที่ฮาราจูกุ ใครมาก็ควรจะมาลองชิมให้ได้
ร้านขายเครื่องสำอาง อย่าง ร้านมัตสึโมโตะ คิโยชิ (Matsumoto Kiyoshi) ก็ตั้งอยู่ที่ถนนนี้ด้วย ที่จริงร้านเค้ามีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่นเลยนะ ไปเที่ยวตรงไหนก็มักจะเจอร้านนี้ ร้านนี้เค้าจะขายพวกเครื่องสำอางค์ ยา ขนมและเครื่องดึ่มต่างๆ และก็มีพวกน้ำยาซักผ้าไรงี้ด้วยนะ เป็นร้านที่สาวญี่ปุ่นรู้จักกันดี
ตอนที่เราไปเดินถนนทาเคชิตะเป็นวันอาทิตย์พอดี ไม่มีรถวิ่งสักคันเลยนะ เค้าจะปิดถนนไว้สำหรับคนมาเดินอย่างเดียว แต่..เห็นปริมาณคนเดินถนนมะ
อยากจะร้องตะโกนว่า โอ้วววคนหรือนี่ๆๆ o_O” ถ้าเรามาช่วงเสาร์ อาทิตย์ เราก็จะเจอแบบนี้หล่ะ
ลองสังเกตดู คนที่มาเดินส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นวัยรุ่นที่เด็กหน่อยอ่ะ ประมาณชั้นมัธยมไปจนถึงมหาลัย (แต่สาวๆออฟฟิสก็มีบ้างนะ) แฟชั่นมันก็เลยประมาณถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นก็จะสะพายเป้มีลาย มีลูกไม้หวานๆ เสื้อผ้าที่ขายก็แนวหวานๆ หญิงๆ หน่อย
เลยไปจนถึงแฟชั่นหลุดโลกอย่างพวกคอสเพลย์
ของแฟชั่นที่นี่ จะออกสไตล์คิกขุ ทั้งเป้ กล่องดินสอ สมุด พวงกุญแจ ตุ๊กตาสีหวานๆตัวนิ่มๆ อย่างตุ๊กตาหมีอันนี้ พี่เก้าก็จัดการสอยมา 1 ตัวเพราะทนไม่ไหวเนื่องจากตัวมันนิ่มมากกกก
นับว่าเป็นสวรรค์สำหรับสาวๆที่ชอบ shopping ของน่ารัก เก๋ๆ หวานๆ เลยหล่ะ
แล้วแฟชั่นผู้ชายมีบ้างไหม? มีสิ มาดูกันได้มีหลายสไตล์ให้เลือก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นของผู้หญิงมากกว่านะ -_-“
ราคาแต่ละร้านจะไม่เท่ากันบางร้านก็ถูก บางร้านก็แพง สำหรับเสื้อผ้าญี่ปุ่นเคยโฉบเข้าไปดูราคาและต้องถอยกรูดออกมาเพราะตอนนั้นรู้สึกว่า เฮ้ย ไมแพงงี้ เราเลยไม่ได้ซื้อพวกเสื้อผ้าญี่ปุ่นกลับมาเลย
ที่ฮาราจูกุ พวกเราได้เป็นของจุกจิก เช่น พวงกุญแจน่ารักๆ, เคสมือถือ, กระเป๋าเป้ ซึ่งดีไซน์ของที่ขายที่นี่มันจะคัดมาเป็นสไตล์น่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก ไปทางวัยรุ่นประมาณ ม.ปลายหน่อย (แต่เราก็ชอบนะถึงแม้จะเลยวัยนั้นมานานมากแล้วก็ตาม 555)
อีกอย่างที่พลาดไม่ได้ถ้ามาถนนทาเคชิตะ (ซึ่งเราก็พลาดกันเต็มๆ) คือการมา “ชิมเครป” ซึ่งบนถนนสายนี้มีร้านเครปให้ชิมหลายร้าน เป็นเครปสไตล์ฮาราจูกุ หรือเครปสไตล์ญี่ปุ่นหน่ะ
ร้านเครปที่ดังๆในฮาราจูกุ คือ
ร้านมารียง (Marion crêpe) เปิดมาตั้งแต่ปี 1976 ก็เกือบ 40 ปีแล้วจ้า เป็น 1 ในร้านเครปชื่อดังในฮาราจูกุ (อีกร้านนึงคือ
ร้าน Angel Heart) ร้านนี้เมื่อก่อนเป็นร้านรถเข็นธรรมดาๆ จากนั้นก็ขยายจนมีร้านเป็นตึกแบบนี้ และตอนหลังก็ขยายสาขาไปทั่วญี่ปุ่น
ไส้ที่แนะนำให้สั่งคือ ไส้สตรอเบอรี่, ถั่วอะซูกิ (Azuki bean) ราดวิปครีม ใครมีโอกาสไปฮาราจูกุ อย่าลืมไปลองทานเครปนะจ้ะ
(ขอบคุณภาพจาก :
http://mcha-jp.com/51 )
แต่พวกเราไม่ได้ลองหรอก เพราะมัวแต่มุ่งหน้าหาอาหารเช้า ขืนกินเครปเข้าไปตอนนี้คงเลี่ยนตายชัก เราเดินกันมาจนเกือบสุดถนนทาเคชิตะ ก็มาเจอกับร้าน
ทาบาสะ ฮาราจูกุ (Tabasa Harajuku)
ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามันเป็นร้านอะไร แต่แค่เห็นโมเดลอาหารในจานก็รู้สึกหิวแล้ว ฝูงซอมบี้เลยเลือกร้านนี้แหละ
ร้านนี้ต้องเดินลงไปชั้นใต้ดิน สังเกตผนังระหว่างทางเดินดิ่ มีการพ่นสีบนกำแพงด้วย เป็นโทนสีส้มแดง ให้ความรู้สึกร้อนแรง หิว อยากกินเยอะๆๆ
มีรูปการ์ตูนด้วยนะ ดูแล้วมันออกแนวอารมณ์พวก street art อะไรงี้เลยอ่ะ แต่มันก็ดูเข้ากันดีกับประเภทอาหารเค้านะเพราะมันเป็นพวกอาหารฝรั่ง
ลงไปแล้วพอดีว่ายังไม่ถึงเวลาร้านเปิด ร้าน Tabasa เค้า เปิด 11.30 – 21.30 น. พนักงานเค้าบอกว่าให้เรารอด้านนอกก่อน แล้วเค้าก็หยิบเมนูมาให้เราดู
พอเอาเมนูมาดู ถึงได้รู้ว่า ร้าน Tabasa เป็นบุฟเฟ่ต์ นี่นา อาหารก็จะเป็นพวกอาหารอิตาเลี่ยนอย่าง พาสต้า, พิซซ่า, ลาซาญญ่า, สลัด, มันบด, แพนเค้ก ไอศกรีม มีเวลาให้ทาน 1 ชม.
ถ้าดูจากเมนูนะ มันจะมีให้เราเลือกเป็น pasta buffet อย่างเดียว หรือจะเลือกเป็น set pasta buffet รวมเครื่องดื่มก็ได้
ถ้าเป็น set เค้าจะแยกตามเครื่องดื่ม เช่น Tabasa Set ก็จะเป็น pasta buffet และมีเครื่องดื่มเฉพาะ soft drink เช่น ชา, กาแฟร้อนเย็น, น้ำอัดลม เช่น โค้ก, เมล่อนโซดา เครื่องดื่มเนี่ยมีให้เลือกเยอะม๊ากกกก ให้เติมแบบไม่อั้นเลย
ส่วน set A จะมีเบียร์, ไวน์กะค็อกเทลเพิ่มมาจาก Tabasa set ส่วน set B มีแค่ไวน์กะค็อคเทลที่เพิ่มเข้ามา set ที่พวกเราเลือกสั่ง คือ Set Tabasa กันเพราะรู้ว่ากินเบียร์มีหวังได้เมาแน่ๆ
และความเจ๋งอีกอย่างของเค้าคือ ราคาจะแยกชายหญิงด้วยนะ หญิง 1,575 เยน (ประมาณ 550 บาท) ส่วนผู้ชาย 1,680 (ประมาณ 588 บาท) เพราะผู้หญิงทานได้น้อยกว่าผู้ชายแน่ๆ เค้าเลยให้จ่ายถูกกว่า เลยรู้สึกว่าญี่ปุ่นนี่เค้าเป็นคนละเอียดอ่อนดี คิดราคายังแยกให้อีกอ่ะ
และเค้าก็มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกสั่งแยกต่างหากได้นะ เอาไว้สำหรับคนที่เน้นทาน pasta buffet อย่างเดียว แล้วมาสั่งน้ำแยกต่างหากแบบนี้ก็ได้
การตกแต่งในร้าน ไม่มีความเป็นญี่ปุ่นเร้ยยย เค้าจะออกแนวร้านมืดๆหน่อย และเปิดไฟสลัวๆ อารมณ์เหมือนร้านอาหารกึ่งผับ และอย่าหวังว่าจะได้มานั่งชิวๆ กันนะ เพราะที่นี่เค้าเปิดเพลงแร็พโย่กันตลอด
และคนที่มาทานส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่นนะ ประมาณม.ต้นไปถึงม.ปลายอ่ะ มาทานข้าวกันกะกลุ่มเพื่อนๆวันหยุดเสาร์อาทิตย์ไรงี้
ถ้าเป็นบ้านเรา ร้านประมาณนี้มันต้องมีขายเหล้า ขายเบียร์ เราก็นั่งกันชิวๆ ฟังดนตรีสดกันไปเพลินๆใช่มะ
แต่ที่นี่! เรามาเพื่อกินอาหารกันอย่างจริงจัง! ดังนั้น เราไปดู Line อาหารกันเลยดีกว่า
เริ่มจากสลัดเรียกน้ำย่อยกันก่อน เค้าใส่ไว้ในถาดพูนๆ ดูน่าทานมาก
ผักสลัด มีให้เลือกหลายชนิด เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าผักอะไรบ้าง แต่อันนี้ดูเหมือนมะละกอสับเลยอ่ะ ถ้าเป็นบ้านเราคงคิดว่าเอาไว้ตำส้มตำแน่ๆ -_-“
น้ำสลัดมาหลายแบบเหมือนกัน เป็นซีซาร์ หรือน้ำสลัดแบบใสเหมือนน้ำสลัดญี่ปุ่น
ถัดมาเป็นเนย เอาไว้ทานกับอะไรก็ไม่แน่ใจ
อันนี้น่าจะเป็นสลัดมะเขือเทศสไตล์ญี่ปุ่น ก้อนสี่เหลี่ยมอันนี้น่าจะเป็นก้อนชีสทานกับมะเขือเทศ รสออกเปรี้ยวๆและได้ความมันอร่อยของชีส มันเข้ากันมากๆ ลองทานดู
ถัดมาเป็นน้ำซุปใสร้อนๆ
มันอบ อันนี้พี่เก้าชอบเป็นพิเศษ บอกว่าอร่อย หอม และมีรสเค็มนิดๆ
อันนี้เป็นสไมล์ลี่ โปเตโต้ เป็นมันทอดที่ทำเป็นรูปหน้ายิ้ม รสชาติก็เหมือนมันทอดทั่วไปแหละ ทอดได้ดี ไม่อมน้ำมันเลย แต่ที่ชอบคือ design หน้ายิ้มนี่หล่ะ น่ารักดี
ตรงปลาย Counter buffet จะมีตู้กดน้ำเอาไว้ให้เราบริการตัวเองได้เลย มีชา กาแฟ ทั้งร้อนและเย็น น้ำอัดลมต่างๆ เติมได้ไม่อั้นสำหรับคนที่ซื้อ set รวม soft drink นะจ้ะ
ไปดูอาหารหนักๆ กันบ้างดีกว่า เริ่มด้วยข้าวผัด แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะแห้งไป เพราะเค้ามีน้ำซ้อส(ไม่แน่ใจว่าหมูหรือเนื้อ)ราดด้วย อารมณ์เหมือนพวกข้าวผัดห่อไข่ราดซ้อสสไตล์ญี่ปุ่นอ่ะ
พิซซ่าหน้าบร็อคโคลี่ มีหมูด้วย เป็นพิซซ่าแป้งบางกรอบ หอม ทานเข้าไปรวมๆแล้วรสชาติเข้มข้นเลยอ่ะ
อันนี้ก็เป็นพิซซ่าแป้งบางเหมือนกัน แต่เป็นอีกหน้านึง เป็นหน้าชีส รสชาติชีสเข้มข้นมาก หอมและกรอบเหมือนกัน รู้สึกว่าแค่พิซซ่าก็รู้สึกหลากหลายแล้วอ่ะ
พาสต้ามะเขือเทศใส่เห็ด เป็นเห็ดญี่ปุ่น สไตล์ซ้อสมะเขือเทศ รสเข้มข้นเปรี้ยวๆ หอมมะเขือเทศ
อันนี้เป็นพาสต้าแซลม่อน เป็นสไตล์พาสต้าผัดแห้ง ผัดกับชิ้นปลาแซลม่อนเล็กๆ ชอบเส้นเค้าอ่ะ ลวกมาได้เหนียวนุ่มกำลังดี ไม่แข็งเกิน ส่วนรสชาติเนี่ยเข้มข้นสุดๆ ทานไปทานมาก็รู้สึกว่า รสมันเหมือนพาสต้าปลาเค็มบ้านเราชัดๆ
สรุปว่าชอบพาสต้าแซลม่อนที่สุดเลย ลุกไปตักหลายรอบมาก รสมันเค็มๆ เข้มข้นสะใจเจงๆ
กินอาหารคาวแล้วก็ต้องต่อด้วยของหวาน แต่ที่ Tabasa เค้ามีของหวานไม่มาก ส่วนใหญ่เน้นไปที่อาหารมากกว่า ของหวานใน Line buffet ก็จะมีพวกเยลลี่ใส่น้ำหวาน
อันนี้เป็นช็อคโกแลตมูส
และก็แพนเค้ก แต่ชอบตรงที่เค้าจะอบมาเป็นรูปต่างๆให้เราเลือกหยิบได้
เราก็หยิบรูปดาวมา พวกแยมผลไม้มีหลายรส แต่ถ้าใครไม่ชอบ ก็มีซ้อสช็อคโกแลตไว้ราดด้วย แต่พวกเราชอบหมดเลยราดมาซะทุกอย่างเลย และนอกจากขนมหวานเค้าก็มีผลไม้ด้วยนะอย่างส้มซันควิก อันนี้พี่เก้าก็หยิบมาทานหลายชิ้นอยู่ เห็นว่าเปรี้ยวดี ทานแล้วสดชื่น
หลังจากเหล่าซอมบี้ผู้หิวโหย ได้อาหารเข้าไปแล้วก็เริ่มออกเดินทางต่อ พอออกมานอกร้านก็ยังเห็นเด็กญี่ปุ่นต่อคิวกันยาวออกมาถึงถนนแหน่ะ เลยรู้สึกว่าร้านนี้สงสัยคนเค้าจะฮิตกันเนอะ และส่วนใหญ่คนที่มาทานจะเป็นสาวญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ทานเรียบร้อย แต่ทานเยอะมาก (แต่เราก็ทานเยอะเหมือนกัน ^^”)
ใครได้มาฮาราจูกุ และอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากการกินราเม็ง หรือซูชิ ก็ลองมาทาน พาสต้าสไตล์ญี่ปุ่น ที่ ร้านทาบาสะ ดูนะจ้ะ
จากถนนทาเคชิตะ เราก็ข้ามกลับมาฝั่งตรงข้าม (ฝั่ง JR ฮาราจูกุ ) แล้วก็เดินตามถนนไปทาง สะพาน Jingu Bashi (จิงงู บาชิ) ซึ่งเป็นสะพานที่เค้าว่ากันว่าจะมีชาวคอสเพลย์มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ระหว่างทางเดิน ฝั่งตรงข้ามเราก็จะมีร้านขายเสื้อผ้าเยอะแยะ
จากสถานี JR ฮาราจูกุ เราเดินไปประมาณ 350 เมตร เราก็จะเจอสะพาน Jingu Bashi ซึ่งทุกวันอาทิตย์ สะพานจิงงูบาชิ จะเป็นที่รวมตัวของคนที่ชอบแต่งตัวเป็นการ์ตูนที่ตัวเองคลั่งไคล้ จนเรียกสะพานนี้กันในชื่อเล่นๆว่า
สะพานคอสเพลย์
ถึงแล้ว สะพานจิงงู บาชิ แต่ไหงไม่มีวี่แววของคอสเพลย์เลย ตอนนี้เป็นเวลา 11.30 เราคิดว่าเค้าอาจจะยังไม่มากัน เราเลยตัดสินใจแวะไปศาลเจ้าเมจิกันก่อนดีกว่า
จากสะพานจิงงู บาชิ เดินตีโค้งขวามานิดนึง เราก็จะเจอประตูทางเข้า ศาลเจ้าเมจิ พอเห็นตอนแรกก็อึ้งไป 5 วินาที
o_O!
พอเริ่มได้สติ ก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย.. เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว เรายังอยู่ใจกลางฮาราจูกุที่ทันสมัยสุดๆ มีแต่วัยรุ่นแต่งตัวติสท์ๆ แนวๆ เดินเบียดกันแน่นๆอยู่เลยนี่หน่า o_O”
แต่พอเข้ามาในบริเวณศาลเจ้าเมจิเท่านั้นหล่ะ อย่างกับเปลี่ยนมาเป็นทัวร์วัฒนธรรมซะงั้น -_-
บรรยากาศดูเงียบสงบ เนิบช้า บรรยากาศ 2 ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบ จนรู้สึกได้ถึงความเย็นและกลิ่นใบไม้ เหมือนเวลาเราไปเดินในป่า หรือพวกอุทยานอะไรงี้เลยอ่ะ
แฟชั่นแนวๆตะกี้นี้หายไปกลายเป็นแฟชั่นยูคาตะแทน -_-
ศาลเจ้าเมจิ หรือชื่อญี่ปุ่นว่า เมจิจิงงู เป็นศาลเจ้าที่อยู่ในเขตชิบุยะ อยู่กลางโตเกียวกันเลยทีเดียว และเป็นศาสนสถานในศาสนาชินโต
ถ้าเป็นบ้านเรา ศาลเจ้าก็เปรียบเหมือนกับวัดในศาสนาพุทธนั่นแหละ
ศาลเจ้าเมจิ ถือเป็นศาลเจ้าหลวงประจำโตเกียว เพราะสังเกตจากสัญลักษณ์ดอกเบญจมาศซึ่งเป็นตราประจำองค์จักรพรรดิเมจิที่อยู่บน เสาประตูโทริอิ ถ้าเป็นศาลเจ้าหลวงจะต้องมีสัญลักษณ์นี้
ศาลเจ้าเมจิ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานในการระลึกถึงจักรพรรดิเมจิ และจักพรรดินี ที่เป็นที่รักของชาวญี่ปุ่น
โดยจักพรรดิเมจิ ทรงสวรรคตปี ค.ศ. 1912 ศาลเจ้านี้ก็ถูกสร้างขึ้นมา รวมๆแล้วก็ประมาณร้อยกว่าปีแล้ว o_O!
บริเวณรอบๆศาลเจ้าเมจิ จะสังเกตว่ามีต้นไม้ขึ้นเยอะมากจนเหมือนเป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่กลางป่าเลย
นั่นเพราะสมัยที่เริ่มสร้างศาลเจ้า พวกราษฎรเอาต้นไม้มาอุทิศให้กับศาลเจ้าเพื่อถวายแด่ท่านจักรพรรดิเมจิผู้ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง
ระหว่างทางเดินเข้าวัด เราจะเห็นถังขนาดย่อมเป็นลายภาษาญี่ปุ่นเรียงกันเป็นตับ อันนี้คือถังสาเก ส่วนอีกฝั่งนึงจะเป็นถังไวน์ (พอดีไม่ได้ถ่ายรูปมา) ซึ่งสาเกพวกนี้ได้รับมาจากบรรดาผู้ผลิตสาเกนำมาบริจาคให้กับศาลเจ้า
สาเกพวกนี้ จะเอาไว้ใช้ในวันสำคัญและพิธีฉลองต่างๆของศาลเจ้าเมจิ เช่น พิธีแต่งงาน วันขึ้นปีใหม่ ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้ดื่มสาเกหวานจะเป็นมงคลแก่ชีวิต
ส่วนถังไวน์ ได้มาจากฝรั่งเศส เพราะสมัยจักรพรรดิเมจิ ญี่ปุ่นช่วงนั้นก็เริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแล้ว ทำให้มีการนำไวน์เข้ามาถวายท่านจักรพรรดิด้วย
ก่อนเข้าใกล้ตัววิหารของศาลเจ้าเมจิ จะมีบ่อน้ำไว้บ้างมือก่อนเจ้าไปในวิหาร เรียนกว่า Temizuya ให้เราล้างมือ ล้างปาก เพื่อเป็นการชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาด แต่เวลาล้างต้องระวังอย่าให้ริมฝีปากไปโดนกระบวยตักน้ำเพราะมันมีคนอื่นมาใช้ต่อจากเราด้วย
ล้างมือเสร็จเรียบร้อย เดินต่อมาอีกหน่อยก็จะมาเจอส่วนที่ขายเครื่องราง
จะซื้อไปเป็นของที่ระลึกฝากเพื่อน ฝากญาติไรงี้ก็ได้นะ ดูมีความหมายดี
กิจกรรมที่เราทำกันในศาลเจ้าญี่ปุ่น อย่างแรกเลยคือการทำบุญโดยการโยนเหรียญ 5 เยน แบบที่เคยทำที่วัดเซ็นโซจิอ่ะ เพราะเหรียญ 5 เยนออกเสียงว่า “โกะเอน” ซึ่งแปลว่าโชคดี เราก็โยนเหรียญลงไปก่อน จากนั้นก็โค้ง 2 ครั้ง ตามด้วยตบมือ 2 ครั้ง จากนั้นก็อธิษฐานขอพรอะไรก็ว่าไป เสร็จแล้วก็โค้งคำนับอีกทีก็เสร็จตามธรรมเนียมญี่ปุ่น
หลังจากทำบุญเรียบร้อย อีกกิจกรรมนึงที่คนนิยมมาทำกันในศาลเจ้าก็คือ การเขียนคำอธิษฐานบนแผ่นไม้รูป 5 เหลี่ยม (แผ่นไม้อันละ 500 เยน เป็นเงินทำบุญให้กับศาลเจ้า)
เจ้าแผ่นไม้ 5 เหลี่ยมอันนี้ เรียกว่า เอมะ (Ema) แปลว่า “ภาพม้า” เป็นแผ่นไม้ที่ใช้เขียนคำอธิษฐานขอพรจากเทพเจ้า อยากได้อะไรก็เขียนแล้วนำไปแขวนไว้บนราวหน้าศาลเจ้า เชื่อกันว่าคำอธิษฐานของเราจะเป็นจริง
เพราะเมื่อสมัยโบราณ ม้า ถือว่าเป็นสัตว์ที่มีค่าสูงเพราะใช้ประโยชน์ได้มากมาย คนสมัยก่อนก็นิยมเอาม้ามาถวายศาลเจ้าเพื่อเป็นการทำบุญ
แต่พอยุคสมัยเริ่มเปลี่ยน คนเริ่มไม่ได้ใช้ม้าเป็นยานพาหนะแล้ว ก็เลยปรับมาเป็นการวาดภาพม้าลงบนแผ่นไม้แล้วนำไปถวายศาลเจ้าแทนก็เลยเรียกแผ่นไม้นี้ว่า เอมะ
เวลาผ่านมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีการครีเอทภาพอื่นๆลงไปด้วย เช่น ภาพดอกเบญจมาศ, ภาพวัว, ภาพสัตว์ตามปีนักษัตรต่างๆ และลดขนาดแผ่นไม้ลงเหลืออันเล็กกะทัดรัด
แต่คนก็ยังเรียกติดปากว่า เอมะ อยู่ดี
พอเราซื้อแผ่นเอมะ เราก็เอามาเขียนคำอธิษฐานที่โต๊ะได้เลย เค้ามีปากกาเตรียมไว้ให้เราเสร็จสรรพ
จากนั้นก็เอาไปแขวนที่รางไม้แบบนี้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี
ศาลเจ้าเมจิจิงงู ก็เป็นอีกที่นึงที่ทำให้เราได้เห็นวัฒนธรรมความเป็นญี่ปุ่นโบราณโดยไม่ต้องเดินทางออกนอกโตเกียว
ศาลเจ้าเมจิ มาไม่ยาก ถ้าใช้ JR ยามาโนเตะอย่างพวกเรา ก็ลงที่สถานี JR ฮาราจูกุ ออกทางออก Takeshita Exit แล้วเดินมาตามถนนเลย
โดยเฉพาะวันอาทิตย์ เราก็จะได้เห็นครอบครัวคนญี่ปุ่นแต่งชุดยูคาตะมาไหว้พระทำบุญกันที่นี่
ที่ศาลเจ้าเมจิ ก็มีร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้วยนะ แต่เราก็ไม่ได้แวะไปดูเพราะจะรีบไปถ่ายรูป cosplay กัน แต่เมื่อไปถึงสิ่งที่เราพบก็คือ..
ไม่เจอ cosplay.. เจอแต่คนเล่นกีต้าร์ -..-
เฮ้ย ไรอ่ะ ไหงเป็นงี้ไปได้ Y_Y แต่ถึงจะผิดหวังจาก cosplay เราก็ยืนดูเค้าแสดงจนจบเลยนะ คนก็มามุงดูกันเต็มเลยโดยเฉพาะสาวๆ
คนนี้เค้าเสียงดีเลยหล่ะ พอร้องเสร็จก็มีการขาย CD เพลงของตัวเองด้วย แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ซึ่ง vdo ไม่ได้ถ่ายไว้ก็คือ มีตำรวจเดินเข้ามาถามอะไรไม่รู้ แต่เหมือนกับตรงนี้เค้าไม่อนุญาตให้มาเปิดการแสดงแบบนี้ พวกแฟนๆผู้หญิงก็เข้ามาช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้ เราไม่ได้อยู่ดูต่อว่าเค้าจะทำไง ก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ในใจ “สู้ต่อไปนะ ทาเคชิ!”
หลังจากผิดหวังจาก cosplay แล้ว พวกเราก็คุยๆกันว่า เออ ตั้งแต่มานี่ก็ยังไม่ได้มา Bic Camera กันเลย อยากรู้ว่ามันมีอะไรขายบ้าง ราคาเท่าไหร่ พวกเราเลยนั่งสายยามาโนเตะ ต่อไปลงสถานีที่ 2 คือ ชินจูกุ นั่นเอง
มาถึงแล้ว ที่นี่คือ Bic Camera สาขาชินจูกุจ้า เราก็เดินตามป้ายนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็น่าจะเจอนะ
เดินไปเดินมา ทำไมวิวมันทะแม่งๆ มีขายอาหารด้วย
เดินมาเรื่อยๆเริ่มรู้สึกว่า เราอยู่ในซุปเปอร์มาเก้ตรึป่าวหว่า
พอเห็นสาหร่างก็รู้สึกว่า โอเคหล่ะ นี่คือซุปเปอร์มาร์เก้ตของห้างละ คิดว่าเราต้องขึ้นไปชั้นบน ถึงจะเจอที่ขายอุปกรณ์กล้องแหล่ะ
และแล้ว เราก็มาเจอจนได้ พอเข้าไปปุ๊บ ทุกคนก็แยกย้ายกันเดินดูสิ่งที่ตัวเองสนใจ ไดเรคเตอร์ของเราก็เดินหายไปในกลีบเมฆ หาไม่เจอ ส่วนเบญกะพี่เก้าก็ไปเช็คราคาพวกกระเป๋ากับกล้องกัน
รุ่นที่ไปเช็คมาคือ..
- เลนส์ fix 40 ราคาเต็ม 24,150 เยน (คิดจาก rate เมื่อ ก.พ. 2013 จะอยู่ที่ 100 เยน = 35 บาท) ก็เท่ากับ 8,452 บาท แต่เมื่อวันที่ไป เค้าอยู่ช่วงลดราคาพอดี ลดเหลือ 17,800 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ 6,230 บาท
- กล้อง Kiss 6 ก็เทียบเท่ากับ กล้อง Canon 650D ราคา 58,800 เยน ก็เท่ากับ 25,080 บาท
- กระเป๋า Crumpler ไซส์ 7 ราคา 14,800 เยน ก็เท่ากับ 5,180 บาท
- กระเป๋า Hatchback 16L ราคา 12,800 เยน ก็เท่ากับ 4,480 บาท
สรุปได้ว่า ของที่ Bic Camera บางอย่างก็ถูก บางอย่างก็แพงกว่าเรา ไม่ใช่ว่าซื้อที่นี่แล้วจะถูกไปหมดทุกอย่าง ถ้าใครจะมาซื้อของที่นี่ก็สำรวจราคากันไปด้วยละกันนะจ้ะ
สำหรับทริป Day 7 เราก็มาปิดทริปกันที่ Bic Camera นี่หล่ะ ก่อนกลับ เราก็แวะซื้อสาหร่ายที่ตะกี้เดินผ่านด้วย กว่าจะสื่อสารกะคนขายรู้เรื่องได้ก็แทบตาย เพราะมันมีพิธีกรรมก่อนกินนิดนึง
ก็คือต้องเอาไปล้างก่อน แล้วค่อยร่อนน้ำออกเพราะถ้าไม่ล้างมันจะเค็มค่อดๆ แล้วค่อยใส่ซีอิ้วพิเศษที่เค้าให้มาด้วย ใครชอบสาหร่ายทะเลลองแวะซื้อไปชิมดูได้ อันนี้อร่อยมาก พี่ฉิมไดเรคเตอร์ยังเสียดายว่าน่าจะซื้อมาอีกเยอะๆ
สำหรับทริป Day 7 วันนี้ หวังว่าคงสนุกสนานไปกะเราด้วยนะจ้ะ วันพรุ่งนี้เราจะกลับกันแล้วน๊า คืนนี้เริ่มแพ็คกระเป๋ากันได้แล้ว วันพรุ่งนี้จะเป็นวันช้อปปิ้งของพวกเราแระ ต้องเตรียมที่ว่างในกระเป๋าให้พร้อม ไปติดตาม Day 8 กันเลยจ้า ^0^