เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 6
วันที่ 6 ในญี่ปุ่น
ของเราแล้ว จุดหมายในวันนี้ของเราไม่ธรรมดา เพราะจะต้องมีการข้ามน้ำข้ามทะเล ไปยังเกาะจำลองขนาดยักษ์ที่มีชื่อว่า
“โอไดบะ” (Odaiba) หรืออีกฉายานึงคือ “เมืองใหม่แห่งโตเกียว” ว่าแต่ทำไมถึงเรียกว่า “เมืองใหม่” ??
เพราะโอไดบะ เป็นเกาะที่เกิดขึ้นจากฝีมือคนญี่ปุ่น ที่ถมทะเลกลางอ่าวโตเกียว โดยเกิดจากการเอาขยะมาถมเพื่อสร้างเป็นแผ่นดินใน ค.ศ. 1853 เอาไว้เป็นป้อมปราการไว้ป้องกันการโจมตีจากข้าศึกทางทะเล นับรวมๆแล้วก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ววว
ลองคิดเล่นๆ สมัย ค.ศ. 1853 ถ้าตรงกับไทยก็คือ พ.ศ. 2396 เป็นช่วงที่ตรงกับรัชกาลที่ 4 ของไทย ซึ่งในสมัยนั้น การจะสร้างเกาะกลางทะเลน่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนในยุคนั้น เพราะมันไม่มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกอะไรมากนัก
แต่ญี่ปุ่นก็ทำให้เราเห็นแล้ว โดยการสร้างโอไดบะขึ้นมา และต่อมาเค้าก็พัฒนาให้โอไดบะเป็นศูนย์รวมความบันเทิง เทคโนโลยี ของกินอร่อยๆ โรงแรมที่พัก ที่พักผ่อนหย่อนใจ และแหล่งช้อปปิ้งไว้ที่นี่ เรียกว่ามาที่เดียวเที่ยวได้ทั้งวัน มีทุกอย่างครบเหมือนกะเป็นอีกเมืองนึงเลย
และที่นี่ยังมี Landmark อีกอย่างที่ ถ้ามาเที่ยวโอไดบะแล้ว ก็ควรจะเก็บภาพไปด้วย นั่นก็คือ
สะพานสายรุ้ง ( Rainbow Bridge ) นั่นเอง เป็นสะพานแขวนสีขาว สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมนะหว่างย่านโอไดบะ กับย่านชิบะอุระในโตเกียว และที่เรียกว่าสายรุ้งเพราะที่ลวดขึงสะพานจะติดหลอดไฟไว้ ซึ่งจะเปลี่ยนระหว่างสีแดง ขาว และเขียวทุกคืน โดยอาศัยไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เก็บไว้ตอนกลางวัน
(ขอบคุณข้อมูลจาก :
th.wikipedia.org/wiki/สะพานสายรุ้ง)
ดังนั้น ช่วงทไวไลท์ไปถึงกลางคืน จะเป็นอะไรที่โรแมนติกมากเพราะบรรยากาศติดทะเล แถมยังได้ดูสะพานสายรุ้ง ทำให้เป็นที่นัดเดทยอดฮิตของหนุ่มสาวญี่ปุ่น ประมาณว่าเช้าไปเที่ยวในห้าง เย็นก็มาเดินเล่นรับลมทะเล ชมวิวสะพานไรงี้ โรแมนติกที่สุด แอร้ยยยย >_<
ในวันที่ 6 ของทริปญี่ปุ่น พวกเราเลยเลือกมาเที่ยวที่โอไดบะกัน เพราะเรากะว่าพอเราเที่ยวกันเสร็จ ช่วงเย็นทไวไลท์เราจะมาเก็บภาพสะพานสายรุ้งกัน ตอนนี้พวกเราพร้อมจะเดินทางแล้วจ้า ^0^
การเดินทาง เริ่มจาก H14 ของโรงแรมเรา > ไป H08 เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Ginza แล้วนั่งต่อไปอีก 1 สถานีไปลง G08 สถานีชิมบาชิ (Shimbashi)
หมายเห็ด! สำหรับคนที่ต้องเปลี่ยนยี่ห้อรถจาก Tokyo Metro Line เป็น Toei Line อย่าลืมว่ามันซื้อคนละตู้กันนะ เพราะเราเองก็ซื้อผิดตู้มาแล้ว เลยต้องขอให้เจ้าหน้าที่เค้าคืนตั๋วและเปลี่ยนเป็นเงินให้
ตอนนี้เราถึงสถานี Shimbashi แล้วจ้า
จากนั้น เราก็ต้องเปลี่ยนสายรถเป็น Yurikamome Line ให้เดินตามลูกศรไปเลยนะ
ตลอดทางเดินจะมีป้ายชี้ไป Yurikamome Line เราก็เดินตามทิศที่ลูกศรชี้ไปเรื่อยๆนะ แล้วเค้าจะบอกด้วยว่าอีกกี่เมตรจะถึงที่ อย่างสถานีที่เราจะไป ก็เหลืออีก 205 ม.
ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆ จะเจอห้าง Wing shimbashi
ให้มองหาป้าย Yurikamome ไม่ต้องกลัวหลงเลยเพราะเค้ามีภาษาอังกฤษกำกับไว้
พอขึ้นบันไดเลื่อนออกจาตัวห้าง ก็จะเจอป้ายเขียวๆแบบนี้ ก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกตามป้ายเลย
เราตั้งใจว่าจะไปลงสถานีแรกคือ Daiba พอลงสถานีนี้ปุ๊บ เราจะเจอห้าง Aqua City ทันที (ไม่ใช่สถานี Odaiba-kaihinkoen นะ ระวังสับสน)
ตั๋วที่ให้เราซื้อได้ จะมี 2 แบบ คือ 1 day ticket และ round trip ticket ราคา 620 เยน
ถ้าใครอยากแค่เที่ยวเฉพาะห้าง Aqua City ไม่ไปสถานีอื่น ก็กดเป็น Round Trip Ticket เที่ยวนึง 310 ถ้าเลือกเป็น round trip ก็ 620 เยน มันออกมา 2 ใบ เอาไว้ใช้ตอนขาไปและขากลับ
แต่บังเอิญ เราเพิ่งคิดได้ว่า เราซื้อตั๋วเหมาไปเลยดีมั้ย เผื่อว่าจะไปแวะที่อื่นๆอีก จะได้ไม่ต้องมาซื้อทุกครั้ง และตั๋วเหมานี่ใช้วิ่งสัก 3 สถานีก็คุ้มแล้ว ไหนๆเราก็เที่ยวในโอไดบะทั้งวัน ก็เลยซื้อแบบ 1 day pass ดีกว่า เราเลยไปทำการร้องแงๆกับเจ้าหน้าที่ให้เค้าช่วยเหลือ เพราะดันซื้อผิดไป เจ้าหน้าที่ใจดีแถมพูดอังกฤษได้ ก็จัดการคืนตั๋วให้เรา โดยสอดตั๋วเดิมเข้าไปในเครื่องซื้อตั๋วเยี่ยงนี้
จากนั้น เงินก็ไหลออกมา ตามนี้นะ แต่พวกวิธีการการกดอะไรงี้เราไม่ชัวร์ เพราะเจ้าหน้าที่เค้ากดให้
จากนั้นเราก็เอาตังไปกดตั๋วใหม่เป็นแบบ 1 day pass ซึ่งตอนปี 2013 ที่เราไป ราคายังใบละ 800 เยนอยู่เลย พอปี 2014 ขึ้นราคาเป็น 820 เยนแล้ว ยังไงไปเช็คราคาตั๋วอัพเดทกันได้ที่ Link นี้นะจ้ะ
http://www.yurikamome.co.jp/en/fare_ticket/other_ticket/
ตั๋ว 1 day pass เป็นตั๋วเหมาจ่าย ใช้แวะได้ทุกสถานีในโอไดบะ ถ้าเราซื้อ Round Trip ไปได้สถานีเดียวแล้วก็กลับ แต่สำหรับเราอยากแวะหลายๆสถานีก็เลยซื้อแบบนี้ จะเป็นรูปนกเพนกวิ้นผอมๆ ฉากหลังเป็นสายรุ้ง
ป่ะๆ รถ Monorail มาแล้ว ไปขึ้นกันดีกว่า
รถ Monorail สาย Yurikamome ไม่มีคนขับ ควบคุมด้วยระบบคอมทั้งหมด ดังนั้นเราสามารถไปนั่งแถวหน้าตรงหัวขบวนได้ มันจะเป็นกระจกแผ่นใหญ่ใสๆ พอเวลารถแล่นไปเรื่อยๆ มันจะได้ความสนุกเหมือนนั่งรถไฟเหาะยังไงยังงั้นเลย แต่ที่นั่งตรงนี้มักจะโดนจองไปก่อนแล้ว ตอนที่เราขึ้นเราก็ได้นั่งที่กลางๆ
ไม่เป็นไรเนอะ เราก็ดูวิวข้างๆก็ได้ สะพานที่อยู่ไกลๆก็คือสะพานสายรุ้ง หรือ Rainbow Bridge น่ะเอง เปิดให้บริการปี 1993 เป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อเชื่อระหว่างเมืองโอไดบะกับโตเกียว เราขึ้น Monorail สาย Yurikamome ก็จะได้วิ่งข้ามสะพานสายรุ้งด้วยนะ
สะพานสายรุ้งยาวประมาณ 798 เมตร บนสะพานมีทางเดินเท้าทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ฝั่งเหนือจะเห็นวิวของชายฝั่งโตเกียวตอนในและโตเกียวทาวเวอร์ ส่วนฝั่งใต้จะเห็นอ่าวโตเกียว และถ้าโชคดีบางครั้งก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย สะพานนี้ให้เฉพาะรถยนต์วิ่งเท่านั้น ถ้าพวกจักรยาน กับมอเตอร์ไซค์จะขึ้นไม่ได้นะจ้ะ
(ขอบคุณข้อมูลจาก :
th.wikipedia.org/wiki/สะพานสายรุ้ง)
สะพานสายรุ้งเลยกลายเป็นสัญลักษณ์เด่นของเมืองโอไดบะไปเลย และโดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนพอตอนสะพานเปิดไฟมันจะสวยมากเหมือนกับสายรุ้งเลยทีเดียว
จะเป็นไงเดี๋ยวคงได้เห็นกันตอนเย็นนี้ละเนอะ เอาหล่ะตอนนี้เราข้ามฝั่งมาเมืองโอไดบะเรียบร้อยแล้ว
รู้สึกได้เลยว่าคนญี่ปุ่นนี่เก่งมาก เพราะการมาสร้างเกาะแบบนี้ก็จะได้พื้นที่ทางเศรษฐกิจ การค้า และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นด้วย
จากเดิมที่ถมทะเลทำเกาะเพื่อใช้ป้องกันข้าศึกทางทะเล พอผ่านมาอีก 100 ปี เค้าก็ถมเพิ่มเพื่อขยายพี้นที่สร้างตึก ท่าเรือ โรงแรม และห้างต่างๆ
แต่การวางผังเมือง และตึกที่สร้างที่นี่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นการสร้างเมืองในยุคใหม่ การวางผังเมืองจึงเป็นระบบระเบียบมาก
สำหรับตึกที่สร้างในโอไดบะ เค้าก็จะดีไซน์ออกมาเป็นรูปทรงแปลกๆ กลมๆบ้าง เป็นทรงโดมบ้าง
ตึกรูปเรือก็ยังมี ตรงนี้คือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล (Museum of Maritime Science) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวมสิ่งประดิษฐ์ทางทะเลต่างๆของญี่ปุ่น และพวกประวัติทางทะเลมาไว้ที่นี่ ส่วนด้านข้างๆมีเรือโซยะ (Antarctic SOYA) เป็นเรือตัดน้ำแข็งลำแรกของญี่ปุ่น ใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจัดแสดงไว้ให้เราดูด้วย
ที่โอไดบะ ก็มีคนมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้จริงเลยนะ แต่บรรยากาศจะต่างจากโตเกียวตรงที่ คนจะไม่พลุกพล่าน และรถไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย เพราะตั้งแต่นั่งรถ monorail ผ่านมานี่แทบมองไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินเลยนะ มันดูเงียบเชียบสุดๆ ช่างต่างกับโตเกียวจริงๆ
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 8.30 น. รถก็ยังดูวิ่งกันชิวๆอยู่เลยนะ เท่าที่นั่งรถไฟผ่านมายังไม่เห็นรถติดเป็นแพเลย
มาถึงสถานี Daiba เรียบร้อย ฝูงชนเหล่านี้แป๊บเดียวก็กระจายตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
พอตอนออกจากรถไฟ เราก็ใช้บัตรรูปนกเพนกวินผอมติ๊ดออก
มาถึง Aqua City แล้ววว เนื่องจากกองทัพต้องเดินด้วยท้อง (อือ.. ทำไมไม่ใช้ขาเดินหล่ะ =_=!) เราเลยจะพามาทานอาหารกันในห้าง Aqua City กันก่อนจ้า
ที่ๆพามาเนี่ยคือ Ramen Stadium ที่อยู่ในห้าง Aqua City Odaiba ชั้น 5 เปิดทุกวัน 11.00 – 23.00 น.
ที่นี่เค้าจะรวบรวมร้านราเม็งชื่อดังจากทั่วทุกภาคในญี่ปุ่นมารวมกันไว้ที่นี่ นอกจากนี้ก็ยังมีร้านเกี๊ยวซ่า กับเบียร์ด้วย แต่ที่เราอยากจะลองชิมมากสุดก็คือราเม็งนี่ล่ะ มีทั้งหมด 8 ร้าน ดูแต่ละชามหน้าตาดีทั้งน๊านนน *0*
(Credit ภาพจาก :
http://www.aquacity.jp/special/120414_menmatsuri/)
ตรงทางเข้า เค้าจะเขียนบอกไว้เลยว่า ร้านนี้มาจากภาคไหนของญี่ปุ่น เมนูเด็ดคืออะไร มีรูปให้เห็นกันจะๆ
และสุดท้าย เค้าก็จะมีโบรชัวให้เราหยิบด้วย เป็นโบรชัวแนะนำเมนูเด็ดของแต่ละร้าน เราก็หยิบไปเพื่อช่วยในการสั่งอาหาร อยากได้เมนูไหนก็ชี้เอาเลย แต่ก็ต้องเดินไปให้ถูกร้านด้วยนะ
เดินเข้าไปข้างในกันเลยดีกว่า สังเกตว่าทางเข้านี่ก็ตกแต่งเหมือนเป็นธีมงานวัดญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
มีกลองยักษ์แบบที่เคยเห็นในหนังญี่ปุ่นย้อนยุคด้วย ดูจากร่องรอยแล้ว กลองนี้น่าจะเคยถูกใช้มาแล้วนะเนี่ย
ส่วนใหญ่เค้าจะเน้นไปทางโทนสีแดง แล้วก็มีโคมไฟกระดาษประดับตลอดทางเดินเลย ให้อารมณ์ความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่นจริงๆ
มีคนที่เคยมาทานที่นี่เขียน comment แปะเอาไว้ด้วย แหน่ะ.. มีคนไทยเคยแวะมาชิมด้วยนะ
เดินเข้ามาจนสุดทางเลยนะ จะมีทางเข้าหน้าตาเหมือนซุ้มประตู ก็เลี้ยวเข้าไปเลย
ข้างในจะมีโต๊ะไว้สำหรับให้เรานั่งทาน คล้ายๆ Food Court บ้านเรานี่หล่ะ
มีภาพเขียนงานวัดญี่ปุ่นด้วย สำหรับเราพอเห็นบรรยากาศแบบนี้ มันรู้สึกว่าของที่เรามากินนี่มันจะต้องได้รสชาติแบบญี่ปุ่นแท้ๆแน่นอน (ก็มโนไปตามบรรยากาศอ่ะนะ)
รอบๆ ที่นั่งก็จะมีร้านราเม็งเรียงติดๆกัน ให้เราเลือกเลยว่าอยากจะกินร้านไหนก็เดินเข้าไปสั่ง เสร็จแล้วก็ยกมาทานที่โต๊ะ
ปกติที่ญี่ปุ่นเค้าจะมีตู้กดเลือกราเม็ง แต่ที่นี่ใช้ระบบเดินเข้าไปสั่งเอาเอง
ส่วนน้ำดื่มเค้าก็มีบริการฟรีด้วยนะ เดินไปกดกันได้เลยจ้า ส่วนใหญ่ร้านอาหารในญี่ปุ่นจะมีน้ำฟรีทุกร้านเลยแหละ
รอบๆร้านจะมีแผนที่ญี่ปุ่นทำเป็นการ์ตูน เดาว่าคงจะสื่อว่าแต่ละภูมิภาคในญี่ปุ่นมีอะไรเด่นๆบ้างละมั้ง น่ารักดี ชอบความเป็นญี่ปุ่นตรงนี้หล่ะเค้าจะสื่ออะไรเป็นการ์ตูนๆ รู้สึกว่าเป็นการสื่อสารที่ Friendly ดีนะ
โอเคพร้อมแล้ว ไปสั่งราเม็งกันดีกว่า เราว่าจะสั่งเฉพาะ Signature ของแต่ละร้านทั้งหมด 5 ร้าน ก็เลือกจากในโบรชัวนี้เลย เพราะในนี้จะมีรูปเมนูที่เป็น Signature ของเค้าลงเอาไว้ ดังนั้นเวลาไปสั่ง อย่าลืมหยิบโบรชัวนี้ติดมือไปด้วยนะ
ข้างหน้าประตู ก็จะมีแผนที่บอกไว้เลยว่า ร้านอะไรอยู่ตรงจุดไหน เราเอามาเทียบกับในโบรชัวก็ได้
ร้านแรกที่เราชิม คือ ร้าน Tentenyu (ชื่อในโบรชัวคือ Tentenyu Kyoto Style Chinese Soba Noodles)
คนขายพูดภาษาญี่ปุ่นมาก่อนเลย เราก็ใช้วิธีชี้เอาจากในโบรชัวนี่หล่ะเป็นอันรู้กัน
เค้าก็จะให้ pager เรามาด้วย เป็นตัวเอาไว้บอกว่าเราได้คิวที่เท่าไหร่ และพอเค้าทำเสร็จ มันก็จะปิ๊บๆเรียก เราก็เดินไปรับราเม็งมาทานที่โต๊ะ อย่างงี้ก็สะดวกดีนะถ้าคนเยอะก็จะได้ไม่ต้องไปยืนออกันหน้าร้านให้วุ่นวาย อันนี้เราได้คิวที่ 1 เลย ประเดิมชามแรกในเช้านี้จ้า
ได้มาแล้วราเม็งของ ร้านเท็นเท็นยู ชามไม่ใหญ่มาก ไม่เหมือนกะที่ไปกินที่ร้านคามาคุระ ราเม็งที่ชิบุย่า
ร้าน Tentenyu เป็นราเม็งชื่อดังจากเกียวโต Ichijoji
เค้าจะเด่นในเรื่องน้ำสต๊อกไก่ที่เคี่ยวกันนานกว่า 11 ชม. จนกลายเป็นน้ำซุปสีนม
ในชามให้หมูมา 3 แผ่น มีไข่ต้มยางมะตูม 1 ฟอง โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและถั่วงอก เป็นราเม็งแบบเส้นเล็กๆ เส้นเหนียวนุ่ม ซุปมันออกข้นๆนิดๆ รสไม่เค็มเกินไป ถือว่าสอบผ่านเลยสำหรับชามนี้
เมนู signature ร้านนี้ ถ้าดูใน brochure คือชื่อนี้นะ ลองเอาไปสั่งกันได้
ไปต่อกันร้านที่ 2 เลยดีกว่า
ร้านนี้คือ ร้าน Jinanbo Ramen เค้าให้เรารอ 1-2 นาที ไม่มี pager ให้ ให้เรายืนรอหน้าร้าน
หน้าร้านมีลายเซ็นคนที่เคยมาทานด้วยนะ
ได้มาแล้ว ร้าน Jinanbo Ramen เป็นร้านราเม็งชื่อดังจากฟูกูโอกะ เคยได้แชมป์ราเม็งแชมเปี้ยนแห่งฟูกูโอกะในปี 2009 โดดเด่นในเรื่องน้ำซุปกระดูกหมู
ตอนไปรับราเม็ง เค้าใส่งาป่นกะขิงดองเพิ่มให้ด้วย ในชามนี้จะมีเห็ดซอย ไข่ยางมะตูม 1 ฟองผ่าครึ่ง แล้วก็หมูแผ่นใหญ่หนา น้ำซุปคล้ายๆกับร้าน เท็นเท็นยู เลยอ่ะ รู้สึกว่าเส้นไม่ค่อยเหนียวนุ่มเท่าไหร่ แต่หมูจะหอมอร่อยกว่าชามอื่นๆที่ทานมา
เมนู signature ร้านนี้ ถ้าดูใน brochure คือชื่อนี้นะ ลองเอาไปสั่งกันได้
ร้านต่อไป คือ
ร้าน Katsuura Beach Style
ให้ช้อนหน้าตาแปลกๆมาด้วย เหมือนตะแกรงเลย ในชามจะมีไข่ยางมะตูมเยิ้มๆ อยู่ 1 ฟองผ่าครึ่ง แล้วก็มีหมูชาชูแผ่นบางเอามาเรียงเกาะขอบชามเพื่อความสวยงาม แต่ที่เด่นมาแต่ไกลคือน้ำซุปสีแดง ดูท่าทางจะเผ็ด
ชิมน้ำซุปแล้วเผ็ดนิดๆ แซ่บๆ จุดเด่นของ ร้าน Katsuura Beach Style คือ เมนูทันทันเม็นที่มีน้ำมันพริกราดอยู่ในชามเนี่ยหล่ะ เป็นราเม็งขึ้นชื่อของเมืองคะสึอุระ จังหวัดชิบะ ซึ่งเป็นจังหวัดทางใต้ของญี่ปุ่นอยู่ติดกับทะเล ว่ากันว่าที่ทำรสชาติเผ็ดๆแบบนี้กินตอนหนาวๆจะได้รู้สึกอุ่นขึ้น เส้นบะหมี่ใหญ่คล้ายๆเส้นบะหมี่มาม่าอ่ะ ส่วนหมูเป็นหมูแผ่นนิ่มๆ ติดมัน
ใครอยากลองทันทันเม็น สไตล์ Katsuura ก็ตามรูปนี้เลยนะจ้ะ
ร้านสุดท้าย Ramen MAKOTOYA ร้านนี้เค้ามาเสิร์ฟให้เราเลยนะ เป็นร้านที่ Director เล็งไว้ร้านแรกเลยเพราะหน้าตาดีมาก
ชิมแล้วซุปมิโซะข้นๆ มีไข่ยางมะตูม 1 ฟอง เห็ดซอย แล้วก็มีหมูหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วก็เป็นแผ่นชาชูด้วย หมูที่หั่นเป็นชิ้นจะหมูมีรสหวาน เส้นมีใส่เป็นเส้นบุกมาด้วย ที่ชอบคือหมูมีรสชาติและน้ำซุปที่กลมกล่อมมาก
สำหรับ
ร้าน MAKOTOYA เนี่ย คุณคูชอบที่สุดเลย น้ำซุปทำได้กลมกล่อมที่สุด ต้องถ่ายรูปเอาไว้กันลืม เพราะอยากเก็บมาเล่าให้ฟังว่าร้านนี้อร่อยโฮก มีเว็บอยู่ด้วยนะเข้าไปดูกันได้
http://www.makotofood.co.jp/
มาสั่งกันได้ ตามภาพนี้นะจ้ะ เปิดรูปนี้ชี้ให้เค้าดูได้เลย
ร้านต่อมา คือ ร้าน Naniwa Hitokushi Gyoza Ebessan เป็นร้านที่ขายแต่เกี๊ยวซ่าอย่างเดียว เราเลือกเป็น signature เกี๊ยวซ่าที่เป็นจานละ 8 ชิ้นมา เค้าทอดมากรอบนอก นุ่มใน ทานได้เรื่อยๆ
อันนี้เป็น signature ของเค้า
ส่วนร้านนี้ไม่ได้กิน ถ่ายรูปมาให้ดูเฉยๆ
ร้านนี้คือร้าน Hakata Teppan Yatai / Ganso Maze-ramen no mise Nishieshoten (ชื่อจะยาวไปไหนเนี่ย -_-“) เป็นร้านที่เด่นในเรื่องน้ำซุปกระดูกหมู (ทงคัทซึ) และซอสถั่วเหลืองสูตรพิเศษของเค้า
หน้าตาของราเม็งออกมาเยี่ยงนี้ ใครอยากสั่งก็ ภาพนี้เลยนะจ้ะ
กินอาหารจานหลักเสร็จแล้ว ก็ต้องหาขนมตอกฝาโลงกันหน่อย เจอร้านไอศกรีมโคน ก็กะจะซื้อกินขำๆ ไม่ได้กะจะรีวิวอะไรหรอก
แต่พอได้กินไอศกรีมช็อคโกแลตเข้าไปคำแรก บอกได้เลยว่าอร่อยมาก เนื้อไอศกรีมแน่น รสชาติช็อคโกแลตเข้มข้น ที่สำคัญไม่หวานและอัดแน่นไปด้วยความเป็นช็อคโกแลต
พี่ฉิม ไดเร็คเตอร์ของเราถึงกับสั่งมากินคนเดียวอีก 1 โคน หน้าตาท่าทางตอนกินของพี่แกนี่ฟินสุดๆ เหมือนโลกนี้มีแต่ฉิมกับไอศกรีมช็อคโกแลตกัน 2 คน =_=
อิ่มอร่อยเรียบร้อย มื้อเช้าของพวกเราก็ถูกเติมเต็มกันแล้ว อ่าห์ ฟินนนน ^____^
สรุปจบ เรารู้สึกประทับใจกับราเม็งที่นี่จริงๆ ถ้าใครได้แวะมา Aqua City ก็มาชิมกันได้ อร่อยหลายเมนูเลยจ้า
ถ้าตามในคลิป หลังกินราเม็งเราก็ไปแวะ Daiso ที่ Aqua City กัน ช้อปกันจนเพลินเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู อิอิ ^^”
Daiso ที่นี่ใหญ่และของเยอะมากๆ แบ่งเป็น section ของใช้ห้องนึง และอีกห้องนึงเป็นขนมโดยเฉพาะ ของราคา 105 เยนทุกชิ้น ใครเป็นแฟนๆ Daiso ห้ามพลาดที่นี่เรยนะจ้ะ
จุดหมายต่อไปของเราคือ ห้างวีนัสฟอร์ท ( Venus Fort ) นั่งต่อจาก Daiba ไปลงสถานีที่ 2 ก็คือ
สถานี Aomi
ถึงสถานี Aomi แล้ววว
เดินออกมาจากสถานี ก็เห็นชิงช้าสวรรค์ยักษ์อยู่ใกล้ๆ อันนี้คือ ชิงช้าสวรรค์ Ferris Wheel ในห้าง Palette Town สูง 115 เมตร เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงติดอันดับโลก (สูงสุดตอนนี้อยู่ที่ Las Vegas ความสูง 167.6 เมตร) เวลาหนุ่มสาวญี่ปุ่นเค้ามาเดทกัน ก็จะจูงมือกันมาดูวิวบนชิงช้าสวรรค์นี่หล่ะ
ว่าแต่เรามาห้าง Venus Fort กันทำไม??
เพราะพี่ฉิม Director ฮีอยากจะได้รองเท้า Onisuka Tiger สักคู่นึง ได้ยินมาว่าที่นี่มีโอนิซูกะขายอยู่ก็เลยจะมาตามหาซะหน่อย เราก็นึกว่าคนญี่ปุ่นเค้าจะฮิตใส่รองเท้าโอนิซูกะกันเยอะ แต่เอาเข้าจริงส่วนใหญ่จะใส่ New Balance, Nike หรือ Converse มากกว่า
เข้าไปเดินกันเลยดีกว่า..
ตรงทางเข้า เห็นมีรั้วล้อมสวนเล็กๆไว้ แล้วเขียนว่า Dog Run ก็สงสัยว่าเอ๊ะ มันสวนอะไร เอาไว้สำหรับให้หมามาวิ่งรึป่าว แล้วทำไมห้างต้องมีที่แบบนี้ด้วย ปกติเวลาไปห้างเค้าก็จะไม่ให้เอาหมาแมวเข้ามาหนิ
พอเข้าไปเห็นข้างในก็อ๋อเลย เพราะห้างนี้เค้าให้จูงหมาเข้ามาเดินเล่นในห้างได้ คนเค้าก็จูงเข้ามากันเป็นเรื่องปกติมาก แถมยังมีร้านขายของเกี่ยวกับหมาแมวเยอะแยะ เป็นพวกเสื้อผ้า สายจูง ปลอกคอน่ารักๆตามสไตล์ญี่ปุ่น
ยิ่งไปกว่านั้นคือ มีร้านรับวาดภาพเหมือนการ์ตูนของหมาแมวด้วย แม่เจ้า!! คนญี่ปุ่นเวลาเค้าทำอะไรก็จะทำให้สุดๆไปเลยจริงๆ
ห้างวีนัสฟอร์ตเค้ามีทั้งหมด 3 ชั้น ตอนนี้เราเดินชั้น 1 อยู่นะ เป็นชั้นที่เน้นขายสินค้าครอบครัว สัตว์เลี้ยง และสินค้าสำหรับเด็ก
พอเดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ Hello Kitty Kawaii Paradise ข้างในมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็ก แล้วก็มีขายของคิตตี้ด้วย
เหมือนเป็นโซนๆนึงในห้างแหล่ะ ไม่ได้เก็บค่าเข้าอะไร
ข้างในจะตกแต่งเป็นสีชมพูหวานแหว๋ว น่ารักสไตล์คิตตี้ เลยแวะเข้ามาเก็บภาพกัน
แต่ดูไปดูมา น่าจะเหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก พาลูกมาเล่นเครื่องเล่น แล้วก็ถ่ายรูปกันไรงี้มากกว่านะ โซนมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายเดินแป๊บเดียวก็หมดแล้ว
ขึ้นไปชั้น 2 กันบ้างดีกว่า ชั้น 2 ของห้าง Venus Fort จะมี shop ขายสินค้าพวกเสื้อผ้า รองเท้าวัยรุ่น และพวกร้านแบรนด์ต่างๆ
แต่สังเกตว่าการตกแต่งชั้นนี้จะเปลี่ยนไปใช้ธีมยุโรปในยุคกลาง พวกร้านชั้น 2 ก็จะเป็นธีมนี้กันไปหมด
แถมเพดานของตัวตึก ยังทำเป็นรูปท้องฟ้าและเปลี่ยนสีได้ตามเวลาเช้า กลางวัน เย็น และกลางคืน
ตอนที่เราไปเห็นมันเป็นสีออกน้ำเงินม่วงๆ มันให้บรรยากาศเหมือนเดินในเมืองยุโรปช่วงหัวค่ำเลย
เดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงตรงกลางของชั้น ตรงนี้คือ The Fountain Plaza
มีน้ำพุตรงกลางลานกว้าง เป็นรูปปั้นสาวยุโรปยุคโบราณ ดูแล้วเหมือนกำลังอยู่ในกรุงโรมยังไงยังงั้น
รอบๆโซนนี้ตกแต่งด้วยต้นคริสมาสต์และไฟดวงเล็กๆ แล้วเค้ายังเพิ่มบรรยากาศด้วยการยิงแสงเลเซอร์ดวงกลมๆ สร้างบรรยากาศให้เหมือนตรงนี้มีหิมะโปรยปราย
และเปิดเพลงบรรเลงคลอไปด้วยให้บรรยากาศโรแมนติคมาก
ตรงนี้เลยเป็นจุดที่คนชอบมาหยุดถ่ายรูปกัน
เพดานทำเลียนแบบท้องฟ้า และสีท้องฟ้ามันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ชมพู ส้ม น้ำเงิน ม่วง สลับๆกันไปทำให้ได้หลายๆบรรยากาศ
ความเจ๋งอันสุดท้ายคือ มีหลอดไฟเส้นๆ ยิงลงมาเหมือนฝนดาวตก
มันจะมีแสงไฟที่ยาว สลับกับแสงดวงเล็กๆ สวยมากๆเลย เราอยู่ตรงโซนนี้นานเหมือนกันเพราะมัวแต่ดูฝนดาวตกเพลินๆ
ใครมา Venus Fort อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปที่นี่ด้วยนะจ้ะ
ได้เวลาเดินทางต่อกันละ เรายังมีภารกิจตามหารองเท้าโอนิกันอยู่
ชั้น 3 เป็นชั้นที่รวม Outlet แบรนด์ต่างๆเอาไว้ เป็นพวกเสื้อผ้า กระเป๋า นาฬิกาไรงี้
แต่เราไม่ได้ขึ้นไปชั้น 3 หรอกนะ เราก็เดินไปเรื่อยๆในชั้น 2 นี่หล่ะ
จาก The Fountain Plaza เราก็เดินมาเรื่อยๆจนมาเจอ North Gate Plaza พอเห็น Logo Onitsuka Tiger ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปเช็คราคาทันที
เข้าไปดูมาแล้ว รุ่นที่พี่ฉิม Director อยากได้คือ Maxico 66 ราคา 12,600 เยน ทำ Tax Refund ได้ 10% จะเหลือ 11,340 เยน convert เป็นเงินไทยในเรท 100 เยน = 35 บาท ก็ราคา 3,969 บาท ซึ่ง เฮ้ยยย พอๆกะที่เซนทรัลป่ะ และถ้ารอช่วงโปรที่ไทยอาจจะได้ถูกกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครอยากซื้อเป็นของที่ระลึกจากญี่ปุ่นก็อีกเรื่องนึงนะ
สรุปว่าแม่บ้านสมองไวก็เลยตัดสินใจยังไม่ซื้อดีกว่า และเอาตังที่เหลือไปซื้อขนมญี่ปุ่นแทน เอิ๊กๆ
อีกแบบนึงที่ไม่ค่อยเห็นที่ shop ไหน ก็คือ โอนิซูกะแบบ Nippon Made ราคา 20,000 เยน (ก็ประมาณ 7,000 บาท จ๊ากกกส์) แต่ดูจากทรงแล้วมันเป็นรองเท้าโอนิที่ดูเหี่ยวหยูด มันอาจจะไปแพงตรงที่เป็น Nippon Made ก็ได้มั้ง ตามความเห็นของเรานะ ถ้าใครจะมาซื้อโอนิที่ญี่ปุ่น คิดว่าเลือกแบบที่ไม่มีขายใน shop ที่ไทยน่าจะเวิร์คกว่า
เคยได้ยินมาว่าซื้อพวกรองเท้าแบรนด์ หรือนาฬิกาที่ญี่ปุ่นราคาไม่ได้ถูกกว่าไทยเลย เราก็เริ่มเห็นด้วยแล้วหล่ะ
หลังจากเรียบร้อยกับภารกิจตามล่าโอนิซูกะไทเกอร์แล้ว พวกเราก็นั่งรถ monorail กลับมาที่ Aqua city เพื่อเตรียมจะมาถ่ายรูปสะพานสายรุ้งในช่วงทไวไลท์กัน
พี่ฉิม ไดเรคเตอร์ เริ่มหาของขบเคี้ยว เลยไปซื้อขนมหน้าสถานีรถไฟ ได้เยลลี่รสองุ่นรูปนินจามา อันนี้อร่อยดีนะ เลยซื้อมาเพิ่มอีกห่อ รู้สึกว่าการได้ชิมขนมระหว่างเดินทางก็เป็นสเน่ห์อีกอย่างนึงของการท่องเที่ยวเหมือนกัน
ถึง Aqua City เรียบร้อย ตอนนี้เป็นช่วงก่อนทไวไลท์ เราก็เดินออกมานอกตัวห้างเพื่อมาหาโลเคชั่นในการเก็บภาพสะพานสายรุ้งกะเทพีเสรีภาพกัน
ด้านหน้าห้าง จะเป็นลานกว้างมากกกกก เอาไว้ให้คนเดินชมวิวได้ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตก บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกจิงๆ นี่พูดเลย
เพราะจากตรงนี้ เรามองออกไปจะเห็นอ่าวโตเกียวกว้างใหญ่เป็นภาพพาโนราม่า เราก็สามารถตั้งขาตั้งกล้องรอถ่ายภาพตรงนี้ได้
วิวด้านบนก็จะได้รูปสะพานสายรุ้ง + เทพีเสรีภาพ และมี Tokyo Tower อยู่ด้านหลังลิบๆนู่น แต่ภาพนี้ เป็นมุมที่ไม่ใช่มุมมหาชนนะ เพราะเทพีเสรีภาพหันหน้าไปชนกับขอบภาพด้านซ้าย จริงๆควรจะให้เทพีเสรีภาพมาอยู่ขวามือและหันหน้าไปทางซ้ายมากกว่า
และอีกที่นึงที่เราสามารถไปถ่ายรูปได้ก็คือชายหาดที่ใกล้กับห้าง Aqua City จากทางเดินด้านบนจะมีบันไดลงไปชายหาดด้วย
ภาพจากชายหาดนี่ก็สวยไปอีกแบบนะ เป็นอีกวิวนึงที่เราไม่ค่อยจะเห็นคนเค้าถ่ายกัน ส่วนใหญ่คนเค้าจะถ่ายอยู่ข้างบนชั้นลอยกันมากกว่า
มีป้ายแปะตรงหาดว่า ระวังทูนามิ อ่านไปอ่านมา อารายฟร่ะทูนามิ เฮ้ย หมายถึง คลื่นซึนามิป่ะ มันมีซึนามิตรงนี้ด้วยเร้อออ o_O”
อะไม่เป็นไร คิดว่าคงไม่มี Event แรงขนาดนี้หรอก เพราะน้าเล็กไม่ได้มาด้วย -_-“
ถ้าถ่ายจากชายหาด ก็จะได้ภาพโขดหินเป็นระยะหน้า และมีสะพานสายรุ้งเป็นฉากหลัง มันก็สวยไปอีกแบบนะ
หันหลังไปถ่ายภาพให้ดู ตอนนี้เราอยู่ข้างหลังเทพีเสรีภาพจ้า
และความแปลกอีกอย่างคือ ตรงชายหาดแถวนี้มีโซ่ขนาดยักษ์อยู่ด้วย ดูแล้วเหมือนเป็นพวกสมอเรือไรงี้เลย
รู้ไม๊ว่า จริงๆ ภาพช่วงทไวไลท์ Rainbow Bridge อันนี้เกือบไม่ได้ถ่ายแล้ว
เพราะอากาศในวันนั้นเย็นประมาณเกือบ 1 องศา + อยู่ริมทะเล + ลมแรงโฮกๆ เรียกว่าเย็นคูณ 2 ครัช แค่ไปยืนพูดสัก 2 นาที ปากก็เริ่มชา มือเมอก็ชาไปหมดแล้ว เราเลยคิดว่าอาจจะเก็บภาพไม่ไหวเพราะกลัวป่วย แต่ในที่สุดก็ตัดใจ เอาฟร่ะ อุตส่าห์มาแล้ว มันต้องสู้หน่อย เลยออกไปถ่ายกันจนได้ >_< เลยได้ภาพติดไม้ติดมือมาเยี่ยงนี้
หลังจากจบทริปถ่ายรูปที่สะพานสายรุ้ง ทีม iLoveToGo ก็พาร่างอันหิวโหยราวกับฝูงซอมบี้ กลับมาที่โรงแรม ว่าแต่แถวโรงแรมโฮริโดเมะมีอะไรอร่อยบ้างหรอ? ถ้าใครมาพัก ก็อยากให้มาลองแกงกะหรี่ร้านนี้เลย (รูปนี้ถ่ายเช้าของอีกวัน ต้องให้พี่เก้ามาเก็บภาพให้เพราะคูลืมถ่ายจ่ะ)
มันเป็นร้านแกงกะหรี่ญี่ปุ่นเล็กๆ มีคนดูแลร้านอยู่คนเดียว เป็นคนทำแกงกะหรี่
ตอนเราเข้ามา หน้าร้านจะมีตู้กดเมนูอยู่ เราก็กดตั๋วเลือกเมนูที่ต้องการแล้วเอาตั๋วไปยื่นให้เค้าทำให้ แต่ก็ด้วยความที่ยังไม่ค่อยจะชินกะไอ้ตู้กดนี่ เราก็ทำเงอะงะ คนขายเลยต้องรีบมาช่วย =_=
เดินเข้ามาในร้านซึ่งแคบม๊ากกก ตามสไตล์ญี่ปุ่นฮ่ะ
เมนูแรกคือข้าวแกงกะหรี่เนื้อ ตัวเนื้อแกงรสชาติเข้มข้น หอมเนื้อ เนื้อไม่เหนียวเลย รู้สึกว่าเข้มข้นกว่าร้าน CoCo Curry ที่เคยทานซะอีก
แฮมเบอร์กเนื้อ จานใหญ่ม๊ากกก เนื้อแฮมเบอร์กนุ่มและตัวเนื้อมีรสชาติมากๆ อร่อยสมศักดิ์ศรีแกงกะหรี่ญี่ปุ่นจริงๆ จานนี้เหมาะกะคนที่หิวโหยมากๆ เพราะเค้าให้เนื้อเยอะ
ยังๆ อย่าเพิ่งรีบกินให้หมดนะ เค้ามีพริกป่นให้เติมด้วย
ส่วนอันนี้เป็นผักดองแก้เลี่ยน ให้เติมไม่อั้นเหมือนกัน
เราก็จัดการประโคมใส่เข้าไปเยี่ยงนี้ รสแกงกะหรี่ยิ่งเข้มข้นเข้าไปอีก โอย อร่อยยยยย
จบแล้วสำหรับทริป ญี่ปุ่นวันที่ 6 ของทีม iLoveToGo เป็นทริปที่พาเที่ยวเกาะโอไดบะทั้งวันเลย อาจจะไม่ค่อยได้ไปนู่นนี่มากมาย เพราะเราต้องรีบกลับมาเก็บรูปช่วง twilight ที่ Aqua City แต่หวังว่าคงจะเพลิดเพลินไปกะภาพของพวกเราด้วยนะจ้ะ : )
สำหรับทริปวันที่ 7 เราจะไปเที่ยวไหนต่อ อย่าลืมติดตามอ่านกันน๊าาาา ^0^