เที่ยวญี่ปุ่น โตเกียว ด้วยตัวเอง (Tokyo Japan Trip) วันที่ 3
เข้าวันที่ 3 ละ วันนี้กำหนดการของเราคือไปวัดเซ็นโซจิ หรือวัดที่สำหรับบางคนอาจจะรู้จักกันในนาม วัดอาสะกุสะ หรือวัดสายฟ้าที่มีโคมแดงยักษ์
มาถึงที่สถานีแล้ว เค้าจะตกแต่งแบบเป็นญี่ปุ่นโบราณๆ และมีตู้โชว์ของญี่ปุ่นโบราณด้วย
ฝาผนังก็แต่งเป็นกระเบื้องสีๆ ดูเป็นญี่ปุ่นสมัยเอโดะ คงเพราะสถานีนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาเพื่อจะมาวัดเซ็นโซจิแน่ๆ
พอขึ้นมาข้างบน เราก็จะเจอกับเจ้ารถเข็นโบราณนี้ก่อนเลย Feeling เหมือนในการ์ตูน อิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญาเลยนะ
ส่วนคนลากรถก็นี่เลย เค้าจะคอยเรียกให้เราขึ้น รู้สึกว่าเค้าแต่งตัวได้เข้าอารมณ์ญี่ปุ่นโบราณมากๆ
ออกจากสถานีอาซาคุซะ ให้เลี้ยวขวานะ เดินไปอีกประมาณ 300 ม. ก็จะเจอวัดเลย แต่พวกเราดันเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปทิศตรงข้าม (ซึ่งก็จะเจอแม่น้ำสุมิดะและฟองเบียร์อย่างที่เห็นในภาพ) ทำให้พวกเราหลงทางไปพักนึงเลยหล่ะ สรุปว่าต้องเลี้ยวขวานะๆๆ มันจะใกล้มากจนรู้สึกทำไมพวกเราถึง สตูปิดอย่างงี้ ><
ไหนๆ ก็เดินมาถึงแล้ว ก็ขอทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกะฟองเบียร์หน่อยแล้วกัน อยากจะบอกว่าอากาศตอนนั้นหนาวจนมือไม่มีความรู้สึกแล้ว แถมยังโดนฝนอีกต่างหาก รู้สึกว่ากลุ่มเราโชคดีมากที่ไม่มีใครป่วยเลย
แต่การหลงทางของเรา ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไปนะ บางทีมันก็ทำให้เราบังเอิญพบสิ่งดีๆ ที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนอย่างครั้งนี้ การหลงทางของเราทำให้เราได้พบกับร้านซูชิสายพานร้านลุง ริมแม่น้ำสุมิดะ ซึ่งเป็นซูชิที่อร่อยมากๆ และราคาไม่แพงเลย เดี๋ยวจะพาไปกินตอนค่ำๆ นะ
และแล้วเราก็เดินมาถึงวัดเซ็นโซจิจนได้ โดยเดินมาเข้าประตูด้านข้างวัด
มาถึงแล้วจร้า ขอถ่ายกะโคมแดงยักษ์เป็นที่ระลึก (ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวโดยสมบูรณ์)
วัดนี้ จริงๆ เค้ามีชื่อว่า “วัดเซ็นโซจิ” เป็นวัดเก่า และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว สร้างตอนปี ค.ศ. 628-645 และเป็นวัดที่มีเจ้าแม่กวนอิม ประดิษฐานอยู่ที่นี่ ซึ่งเค้าว่ากันว่า เจ้าแม่กวนอิมถูกค้นพบที่แม่น้ำสุมิดะค่ะ
เพราะอยู่ในเขตอาซาคุสะ ชาวบ้านแถวนี้เลยเรียกว่า วัดอาซาคุซะ และก็เลยเรียกต่อๆ กันมา
พอเราผ่านประตูโคมยักษ์เข้าไปแล้ว เราจะไปเจอถนนนากามิเซะ (Nakamise Dori) ที่จะออกแนวย้อนยุค ไปสมัยเอโดะ 2 ฝั่งของถนนจะมีแต่ร้านขายของฝากน่ารักๆ และขนมอร่อยๆ เพียบ ขนมอุ่นๆ >< ตอนนี้มือเย็นจี๋ คิดถึงแต่ของอุ่นๆ อ่ะ แต่ขออดใจไว้ก่อน เราเข้าไปไหว้พระข้างในก่อนแล้วค่อยออกมาช็อปดีกว่านะ
ประตูนี้เรียกว่า Kaminarimon (Thunder Gate) หรือ "ประตูสายฟ้า"
ทั้ง 2 ฝั่งจะมีรูปปั้นเทพพิทักษ์วัดอยู่ คือเทพฟูจิน เป็นเทพเจ้าสายลม มีถุงลมใหญ่พาดไหล่ทั้งสองข้าง อยู่ด้านขวาของประตู ส่วนด้านซ้าย คือ เทพไรจิน เจ้าแห่งสายฟ้า มีกลองเอาไว้ทำฟ้าผ่า
เราเข้ามาไหว้พระกันก่อนดีกว่า มาถึงเราก็มาล้างมือที่บ่อศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นการชำระล้าง ร่างกายและจิตใจให้สะอาด
ตักน้ำมาล้างมือแบบนี้
หรือเห็นบางคนเค้าก็เอามากุ๊กๆ ปาก แล้วบ้วนทิ้ง อีกทีก็ดื่มเข้าไปเลยแบบคนนี้ แต่สำหรับเรา ไม่ค่อยชินที่จะดื่มเข้าไปอ่ะ ก็เลยขอเป็นการกุ๊กๆ แล้วบ้วนเป็นการล้างปากแล้วกันนะ ^^
หลังจากนั้น เราก็ไปซื้อธูปกำละ 100 เยน แล้วก็เอามาจุดทั้งกำเลย เค้าจะมีที่จุดไว้ให้
ตรงกระถางตรงนี้ก็จุดได้
อ้าว นั่นไม่ได้จุดธูปหนิ มายืนอุ่นมือเฉยเลย ขอบอกว่าอากาศตอนนั้นหนาวม๊ากก แถมฝนยังตกอีก เรียกว่าไปกันใหญ่เลยหล่ะ มือหมดความรู้สึกไปนานแล้ว พี่เก้าเลยเรียกเบญไปอุ่นมือด้วยกัน เลยช่วยให้หายหนาวไปเยอะเลย
พอเราจุดธูปเสร็จก็อธิษฐานกับเจ้าแม่กวนอิม โดยหันหน้าไปทางวิหาร จากนั้นก็เอาธูปไปปักในกระถางที่อยู่กลางวัด
เราก็แอบดูคนที่นี่ เค้าจะกวักควันธูปเข้าหาตัว เพราะเค้ามีความเชื่อว่าควันธูปเป็นพรศักดิ์สิทธิ์ กวักเข้าหาตัวจะทำให้โชคดี
ขั้นตอนสุดท้ายก็ เตรียมเหรียญ 5 เยน ขึ้นไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิม เหรียญ 5 เยนเตรียมไปทำไม
ที่ใช้เหรียญ 5 เยนเพราะ ภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า “โกเอน” แปละว่า โชคดี เราก็โยนเหรียญลงในกล่องด้านหน้าแบบนี้เลย จากนั้นก็อธิษฐานขอพรอะไรก็ว่ากันไป
ข้างในตัววิหาร ก็มีกล่องให้เราโยนเหรียญเหมือนกัน
หันไปหันมา เออ มีเซียมซีด้วย เค้าว่ากันว่าเซียมซีที่วัดอาซาคุซะเนี่ยแม๊นแม่น ขั้นตอนก็ง่ายๆ แค่หยอดเหรียญ 100 เยนลงในตู้ แล้วก็เขย่ากล่องสีเงินๆให้ไม้ออกมา จากนั้นก็หยิบคำทำนายตามเบอร์ที่ได้ตรงลิ้นชักในตู้อ่ะ
พี่เก้าไปเสี่ยงเซียมซีได้เบอร์ 10 มาละ กระดาษคำทำนายจะมี 2 ด้าน ด้านนี้เป็นภาษาญี่ปุ่น
พลิกอีกด้านเป็นภาษาอังกฤษ ได้คำทำนายดีด้วยอ่ะ เย้ๆๆ ทุกวันนี้ยังเก็บอยู่ในกระเป๋าสตางค์พี่เก้า
ใครได้คำทำนายดีๆ ก็จะเก็บใบทำนายกลับไปเป็นที่ระลึก พับใส่เป๋าตังค์ไว้เลย
แต่ถ้าใครที่ได้คำทำนายไม่ดี เค้าก็จะเอาใบทำนายมาผูกไว้ที่ราวนี้ เพื่อเป็นการแก้เคล็ด
และก็ทิ้งใบไว้ที่วัดนี่ละ โชคร้ายก็จะไม่ตามเราไปด้วย
ออกมาข้างนอกวัด ก็ยังมีร้านขายเครื่องรางให้เราเลือกซื้อได้ด้วย
ร้านจะอยู่ 2 ข้างทางที่จะเดินไปยังประตูวัด แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะห้ามถ่ายรูปนะ พอถ่ายรูปนี้ไป คนขายเค้าก็โบกมือห้ามถ่ายละ
จากนั้นพวกเราก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวกันต่อ ถ่ายรูปกะสิ่งที่อยากจะถ่ายในวัด อย่างแม่ก็อยากจะถ่ายรูปคู่กับอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายๆถ้วย
ส่วนพวกเราก็ขอถ่ายกะเจดีย์ละกัน หนึ่งในสัญลักษณ์เด่นของวัดแห่งนี้
คราวนี้ขอพาออกมาเดินเที่ยวด้านนอกวัดบ้างละ ตรงไปถนนนากามิเซะเลย
ถนนนากามิเซะ (Nagamise) เป็นถนนคนเดินหน้าวัดเซ็นโซจิ คล้ายๆ ร้านตามงานวัดเลย จะมีร้านขายขนมโบราณของญี่ปุ่นแบบที่ทำกันให้เห็นสดๆ ใหม่ๆ ตรงนั้น และก็มีร้านขายเครื่องรางญี่ปุ่น และของฝากแนวๆ ญี่ปุ่นโบราณเพียบ ใครอยากจะซื้อของฝากที่ดูกลางๆ เป็นสไตล์ญี่ปุ่นๆ ที่นี่ก็เหมาะเลย
และก็สังเกตเห็นว่า วัยรุ่นก็มาเดินเที่ยว มาไหว้พระที่นี่กันเยอะเกินคาดเลยค่ะ (ตอนแรกที่วาดภาพไว้ว่า อ๋อ วัดหรอ คงมีแต่นักท่องเที่ยว และชาวญี่ปุ่นสูงอายุ เหมือนวัดที่ไต้หวันแน่ๆ แต่ปรากฏว่า วัยรุ่นก็เยอะเหมือนกันค่ะ)
พาไปชิมขนมดีกว่า ที่อ่านหนังสือมา เค้าว่ามีร้านอาเกะมันจูร้านนึงอร่อยมาก อยู่ที่นี่ละ ถ้ามาวัดเซ็นโซจิแล้วต้องลอง
ไปถึง คนก็ต่อคิวซื้อกันตลอดเลย ท่าทางจะอร่อยจริง ตอนนี้เราส่งพี่เก้าเข้าไปต่อแถวเรียบร้อย
เห็นเค้าทอดมาร้อนๆ เลย มีหลายสีหลายไส้ น่ากินมว๊ากกกก >< ประกอบกับอาการหิวด้วยอ่ะนะ
นอกจากความใส่ใจรายละเอียดในการทำขนม คนญี่ปุ่นเค้ายังใส่ใจกะแพ็คเกจด้วยนะ อย่างขนมแบบนี้ เค้ายังห่อใส่ถุงกระดาษ ลายเนี่ยบอกเลยว่ามาจากวัดเซ็นโซจิแน่ๆ
รอแปร๊บเดียว พี่เก้าก็ฉกมาได้แล้ว 1 ถุง ตอนสั่ง ก็เห็นพี่เก้าเค้าชี้ เอานี่ ชิ้นนึง นี่ชิ้นนึง นี่ชิ้นนึง สรุป ซื้อมาทุกไส้กันเลยทีเดียว ไหนๆๆ มีไส้ไรมาให้ชิมบ้าง
ขนมอาเกะมันจู มันเป็นขนมโบราณของญี่ปุ่น เป็นการเอาแป้งมาทอด และมีไส้อยู่ข้างใน มีทั้งไส้ถั่วแดง ชาเขียว ฟักทอง คัสตาร์ด อย่างในภาพนี้เหมือนเป็นแป้งผสมผักแล้วเอามาทอด ก็เลยได้สีสันที่แปลกขึ้น
ที่พี่เก้าถืออยู่ดูเหมือนถ้าไม่ใช่ฟักทองก็ไส้มันหวานละมั้ง ส่วนอันทางขวาที่ไดเร็คเตอร์ถืออยู่นี่ไส้ไรไม่รู้ จำไม่ได้
ส่วนอันนี้เป็นไส้ถั่วแดง รู้สึกว่าเป็นขนมที่อร่อยดี ทอดมาแป้งบาง กรอบๆ ไม่อมน้ำมัน และไส้ไม่หวานมาก ทานแล้วไม่ได้รู้สึกเลี่ยน ชอบๆๆ
ถัดมาอีกร้านนึง ชื่อ “คิมูรายะ โฮเต็น” ก็เป็นร้านขนมโบราณอีกเหมือนกัน ขายขนมแป้งทอดไส้ถั่วแดงที่เรียกว่า “ขนมนิงเงียว”
เค้าทำเป็นกล่องขายเลยนะ มีขนมหลายๆแบบที่เค้าทำ
ที่หน้าร้าน เค้าจะทำเป็นกระจกใสให้เราเห็นวิธีการทำขนมเลยล่ะ ตอนที่เบญไปยืนดูเค้าทำ เค้าดูจริงจังและมีสมาธิกับการทำขนมมาก เหมือนกำลังทำงานศิลปะอยู่เลย
พี่เก้าก็ไปจัดการฉกมาอีก 1 ถุง
มาแล้ว อันนี้คือลายที่เชฟเพิ่งทำเสร็จตะกี้นี้เลย (จากภาพข้างบน) เค้าจะเอามาใส่แม่พิมพ์ที่แกะลายสวยๆ ข้างในเป็นไส้ถั่วแดง พี่เก้าทานเข้าไปบอกเหมือนขนมไข่บ้านเราเลย แต่ข้างในเป็นไส้ถั่วแดง
ส่วนอันนี้ทำเป็นรูปนก เป็นไส้ถั่วแดงเหมือนกัน แป้งจะกรอบๆ แต่ไส้หวานไปหน่อยนะ ถ้าเทียบกับร้านอาเกะมันจูตะกี้
ร้านถัดมาเป็นขนมดังโงะ เหมือนที่เห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย
มันเป็นขนมแป้งปั้นกลมๆ เสียบไม้ แล้วราดน้ำเชื่อมเหนียวๆ หวานๆ แต่ดูแล้วคล้ายๆ ลูกชิ้นปิ้งบ้านเราเลย แต่มันคือขนมญี่ปุ่น
บางแบบก็เอามาคลุกกับงาดำ
ส่วนอันนี้เหมือนจะเป็นแป้งชาเขียว แล้วเอามาคลุกกับผงอะไรบางอย่าง
พี่เก้าก็ไปฉกมา 2 อัน ชิมแล้วก็เป็นแป้งนุ่มๆ หยุ่นๆ รสหวานๆแต่ไม่ได้หวานมาก รวมๆ ก็เฉยๆ กับดังโงะนะ
พอซื้อเสร็จปุ๊บ เค้าก็ต้อนพวกเราเข้าไปในร้าน แล้วบอกว่าให้ทานตรงนี้ และทิ้งไม้เสียบไว้ที่นี่เลย เพิ่งรู้ว่าที่ญี่ปุ่นเค้าจะไม่ให้ซื้อขนมแล้วเดินกิน พวกของกินเสียบไม้พวกนี้ซื้อแล้วต้องกินในร้านเค้าเท่านั้น กินหมดแล้วค่อยไป เลยทำให้ถนนไม่มีขยะสักชิ้น คนญี่ปุ่นนี่สุดยอดจริงๆ
มาเจออีกร้านนึง ท่าทางน่าอร่อย ลองเข้าไปดูใกล้ๆ ดีกว่า
เป็นเหมือนขนมข้าวทอดให้พองๆแล้วห่อสาหร่าย
พี่เก้าจัดมาให้ชิม รู้สึกว่าผงที่โรยข้าวพองนี่มันเผ็ดๆ แต่ทอดข้าวได้กรอบกร้วมดี
ส่วนอันนี้จำไม่ค่อยได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นขนมหวานที่เค้าเอามาปิ้ง
ข้างนอกจะกรอบๆ ไส้ในจะหวานๆ แต่โดยรวมแล้วก็เฉยๆนะ ไม่ได้อร่อยแบบโอ้ว ว้าว
จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นถนนนากามิเซะกัน ก็จะมีร้านขายขนมญี่ปุ่น อย่างร้านนี้ขายขนมข้าวเกรียบ แต่ที่ชอบคือ packaging เค้าทำดูดีอ่ะ ซื้อเป็นของฝากได้เลยนะเนี่ย
ถ้าเป็นของที่ระลึกที่ขายที่นี่ จะเป็นของสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ อย่างเช่น ที่ติดกระจกทำเป็นรูปโคมญี่ปุ่นโบราณ ดูแล้วเหมือนเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดีเลยนะ
มีหน้ากากขายด้วย เหมือนที่เคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเลย หน้ากากแบบนี้จะมีขายตามงานวัดของเค้า
วัยรุ่นญี่ปุ่นยังซื้อมาใส่กันเลย
คนขายของที่นี่เค้าจะยิ้มแย้ม และสุภาพมากกกกก เวลายื่นของให้หรือทอนเงินเค้าจะยื่นให้ 2 มือตลอด
นอกจากร้านขายขนมตามข้างทาง ก็ยังมีร้านขายขนมติดแอร์ที่ดูไฮโซกว่าร้านอื่นด้วยนะ แต่ร้านนี้รู้สึกว่าหรูเกิน ไม่ค่อยเหมาะกะเราเท่าไหร่ 555+
เดินไปเดินมา เริ่มหิวแล้วววว หาอะไรทานกันดีกว่า
จากถนนนากามิเซะ ตามด้านข้างก็จะมีซอยที่เดินเข้าไปได้อีก ตามซอยนี่ก็จะมีร้านไอติม ร้านอาหารซ่อนอยู่ด้วยนะ อย่างร้านนี้เราก็เจอโดยบังเอิญ เป็นร้านราเม็งดูน่ากินดีนะ ประกอบกับอากาศ ที่หนาวเย็น อยากซดน้ำแกงร้อนๆ เอาร้านนี้ละ
แผนที่ร้านราเม็งแถววัดอาซาคุสะ (เราไม่รู้ว่ามันอ่านว่าอะไรอะนะ)
พิกัด : 35.712796, 139.796845
อากาศหนาวๆอย่างนี้ ก็ต้องราเม็งสิลูก ฮึ..
ราเม็งร้านนี้ มีอยู่ 2 ชั้น จุดเด่นของร้านคือ แคบมากเป็นพิเศษ (นี่คือจุดเด่น??) ข้างล่างเต็มก็เลยต้องขึ้นมากินชั้น 2 ระหว่างเดินขึ้นบันได้ เดินได้ทีละคนนะ เพราะความกว้างบันไดเท่าคนๆ เดียว
ร้านนี้ทำมิโซะราเม็งอยู่แบบเดียว เป็นมิโซะราเม็ง ใส่หมู ชาชู และมี Topping เป็นไข่ หน่อไม้ สาหร่าย และเราเลือกเพิ่มของเหล่านี้ได้นะ เช่น เพิ่มหมู เพิ่มไข่ หรือหน่อไม้ก็ได้ค่ะ แต่เราเลือกคือ แบบเพิ่มไข่
มาชิมกัน น้ำซุปใสๆ กลิ่นหอมดีนะ ไม่เค็มมาก แต่ที่แปลกก็คือเค้าใส่ผิวส้มด้วย ทำให้น้ำแกงหอมๆ กลิ่นส้มนิดๆ หมูในราเม็งนุ่มมาก ส่วนไข่ที่สั่งมาเพิ่มก็มีรสชาติ แต่ที่ติดใจสุดๆ คือน้ำแกง ซดแล้วคล่องคอจริงๆ สรุปโดยรวมแล้วชอบเลย เป็นราเม็งง่ายๆ แต่รสชาติประทับใจมากค่ะ
สุดท้ายก่อนกลับ ลุงเจ้าของร้านราเม็งก็ออกมาส่ง เค้าดูต้อนรับอย่างดีเลย เราเลยขอถ่ายรูปด้วยเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ตามกำหนดการ หลังจากเที่ยววัดอาซาคุซะเสร็จ ตอนเย็นเรากะว่าจะมาถ่าย Photo Corner ที่ริมแม่น้ำซุมิดะ เก็บวิวตึก tokyo skytree และฟองเบียร์อาซาฮี ซึ่งต้องกลับมาที่อาซาคุซะอีกรอบ เราเลยชวนกันไปที่อากิฮาบาระ เพราะไดเร็คเตอร์ พี่ฉิมอยากจะไปช็อปหนังสือกล้อง
ตอนขึ้นรถเห็นป้ายแบบนี้ด้วย ดูรูปแล้วเข้าใจว่าถ้าเจอคนตกลงไปบนทางรถไฟ ให้กดออดเรียกเจ้าหน้าที่ อย่าลงไปช่วยเอง (มั้ง) ถ้าใครแปลออกก็มาบอกกันมั่งนะ
เราจะไปลที่สถานี Akihabara โดยใช้วิธีนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Asakusa G19 มาลง G16 เพื่อเปลี่ยนสายเป็นสีเทา และนั่งจาก H17 ไปลง H15
ถึงแล้ว ณ จุดนี้คือสถานี Akihabara
แผนที่ ห้างYodobashi-Akiba
พิกัด : 35.698704, 139.774761
เราก็เดินกันไปจนถึงห้าง Yodobashi เป็นห้างที่ขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า มือถือ โมเดลการ์ตูน กล้อง กระเป๋ากล้อง หนังสือถ่ายภาพ อุปกรณ์ทำอัลบั้มรูป แต่เค้าจะจัดเป็นชั้นๆเลยนะ อย่างชั้นล่างขายมือถือก็จะมือถืออย่างเดียว ชั้นบนเป็นกล้องก็ขายเฉพาะกล้องและอุปกรณ์อย่างเดียว พี่ฉิมก็ได้หนังสือกล้องไปสมใจ
ได้เวลาที่พวกเรากลับมาที่อาซาคุสะ เพื่อมาถ่าย Photo Corner กันแล้วจ้า
แผนที่ จุดถ่ายรูป The Tokyo Skytree
พิกัด : 35.711254, 139.798576
อากาศหนาวมากเหมือนเดิม มือชา ไร้ความรู้สึกไปแล้วล่ะ รู้สึกว่า ต้องใช้ความอดทนมากเหมือนกัน ที่จะถ่ายรูป หามุม จัดองค์ประกอบ ถ่ายภาพช่วงทไวไลท์ แบบนี้ ต้องใช้ขาตั้งกล้องแน่นอน รู้สึกเจ็บมือเวลา ที่เราต้องบิดหัวบอลไปมา
แนะนำคนที่จะถ่ายรูปที่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ในอากาศหนาวขนาดนี้ว่าให้ใส่ถุงมือ ถึงถุงมือมันไม่ได้ช่วยกันหนาวนัก แต่มันก็ช่วยทำให้ไม่เจ็บมือเวลา เราบิด หรือจัดการกับขาตั้งกล้องน่ะค่ะ
และเนื่องจาก ไม่ได้เตรียมตัว หามุม หรือดูภาพมาก่อน ทำให้เราไม่รู้จะจัดองค์ประกอบภาพไงดี เราก็หามุมกันเดี๋ยวนั้นเลย
ฟ้าทไวไลท์หมดแล้ว ก็รู้สึกว่าถ่ายไม่ค่อยได้เลยอ่ะ
ฮือๆๆๆ นี่ก็เป็นอีกบทเรียนนึงในการออกทริปถ่ายรูปที่เราต้องจำไว้ไปแก้ไขครั้งหน้า ฮึ่มๆๆๆ ก่อนจะออกทริปทุกครั้งควรจะเตรียมตัวทุกครั้งนะ
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ความหิวก็มาเยือนทันที ใกล้ๆ แม่น้ำซุมิดะที่เราถ่ายรูปกัน มีร้านซูชิสายพานอยู่ร้านนึง ชื่อ “Sushi Go-round” ที่เล็งไว้เมื่อเช้านี้ คืนนี้ขอฝากท้องไว้กะร้านนี้แหละ
แผนที่ ร้าน Sushi Go-round
พิกัด : 35.710970, 139.797997
เห็นเมนูหน้าร้านก่อนเลย จานที่ถูกสุดคือ 130 เยนเท่าน๊านนน แอร๊ยยยยย ก็เท่ากับประมาณจานละ 45 บาท (ตอนนั้น Exchange Rate ที่เราแลกคือ 100 เยน = 35 บาท) ดูแล้วราคาไม่แพงถ้าเทียบกับร้านซูชิสายพานตามห้างบ้านเรานะ
เข้าไปในร้าน ก็มีทั้งคนญี่ปุ่นและฝรั่งมากินกัน จะมีสายพานเป็นวงกลมอยู่กลางร้านเลย (คล้ายเฮโรคุบ้านเรานั่นแหละ) เชฟจะอยู่ตรงกลางวงกลมคอยทำซูชิให้ลูกค้า และร้านก็แคบอีกเช่นเคยตามสไตล์ร้านญี่ปุ่น ที่ผนังร้านจะแปะจานตัวอย่างไว้ว่าจานแบบนี้ ราคาเท่าไหร่ให้เห็นกันชัดๆ
ร้านนี้ก็มีชาเขียวร้อนให้ฟรีด้วย วิธีชงชาก็แค่ตักผงชาเขียวใส่ถ้วย แล้วก็ไปกดน้ำร้อนใส่ ก๊อกน้ำร้อนจะอยู่ตรงหน้าที่นั่งเราอยู่แล้ว
ได้แล้ว ชาเขียวร้อนๆ การได้ซดชาร้อนตอนอากาศหนาวนี่มันช่วยแก้หนาวได้ดีจริงๆ ปกติอยู่กรุงเทพ ก็ไม่เคยจะสั่งเครื่องดื่มร้อนๆ เลย นอกจากไม่สบายเจ็บคอจริงๆ แต่นี่ ไม่เกี่ยงงอน ดื่มเข้าไปเลยทั้งที่มันร้อนมาก แต่กลับรู้สึก อุ่นสบาย ผ่อนคลายจริงๆ ค่ะ
มาเริ่มชิมกันดีกว่า... จะบอกนิดนึงว่า ร้านที่ญี่ปุ่นเนี่ย เค้าจะถามเราก่อนนะคะว่า ทานวาซาบิหรือเปล่า เพราะถ้าเราตอบว่าทานเนี่ย เค้าจะป้ายวาซาบิมาให้เราในซูชิเลย และเราก็แค่จิ้มกับโชยุอย่างเดียว แต่ถ้าใครอยากได้วาซาบิที่มากกว่าที่เค้าป้ายมาให้ ก็ตักเพิ่มได้ เค้าก็มีถ้วยวาซาบิวางอยู่ในสายพานเหมือนกันค่ะ
อันนี้เป็นจานแรกที่พี่เก้าชิมใน VDO เป็นแซลมอนซูชิ เนื้อแซลมอนหั่นมาหนาบึ้กและยาวครอบข้าวเลย รู้สึกได้เลยว่า สด นุ่ม หอม มัน ได้คุณภาพมากๆ จานนี้แค่ 130 เยนเองนะ
พี่เก้าทานแล้วเอาแต่พูดว่า แซลม่อนอร่อยมากๆ ส่วนเบญชิมแล้วก็เออ มันอร่อยจริงๆ สรุปว่าสุดท้ายพวกเราก็อิ่มเพราะเมนูแซลม่อนนี่ละ
ไข่หวาน เป็นเมนูที่พี่เก้าชอบเป็นพิเศษ เค้าทำมาไม่หวานมาก ตัวไข่นุ่มกำลังดี เบญว่าเค้าให้ไข่หวานมาเยอะนะ วางครอบข้าวอีกละ
อันนี้เป็นเมนูปลาหมึกจิ๋ว สั่งมาให้แม่ทาน ไม่ได้ชิมเองหรอก แต่แม่บอกว่าอร่อย
ปูอัดราดน้ำสลัด เนื้อปูอัดเนื้อแน่นกำลังดีไม่เละ มีรสชาติ และเค้าก็ราดน้ำสลัดโรยต้นหอมและผงสาหร่าย อันนี้ก็อร่อย
กุ้งที่ขโมยแม่มาทาน เนื้อกุ้งกำลังดีเลยนะ ไม่เหนียวเลย ได้รสชาติกุ้งออกหวานๆ
อันนี้เป็นทูน่าในน้ำสลัด
อันนี้เป็นทูน่าในน้ำสลัด
ปูอัดในน้ำสลัด
สรุปแล้วเท่าที่ทานมาทั้งหมด บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่อร่อย และเค้าใช้วัตถุดิบมีคุณภาพจริงๆ
พวกเรากินไปกินมา ก็ลงความเห็นกันว่า ถ้าทริปนี้มีเวลาเหลือเนี่ย เรากลับมากินร้านนี้กันอีกดีกว่า
คิดว่าหลายๆ คนอาจจะอยากรู้ว่า ถ้าเทียบกับเฮโรคุบ้านเรา เป็นยังไงบ้าง.... บอกได้เลยว่า อร่อยกว่าค่ะ อย่างซูชิแซลมอน เนื้อปลาสด หอม กว่า และชิ้นใหญ่กว่า
แต่พอกลับมาไทย พวกเราก็รู้สึกคิดถึงญี่ปุ่น และอยากไปอีกครั้ง เพื่อเป็นการระลึกถึง ก็เลยไปทานร้านเฮโรคุกันบ่อยๆ ก็รู้สึกว่า ถึงแม้จะอร่อยไม่เท่าร้านลุง (Sushi Go-round) แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะแย่มาก ถือว่า อร่อยใช้ได้ทีเดียว ทำให้รู้สึกหายคิดถึงไปได้ และพูดได้เลยว่า วาซาบิที่เฮโรคุเหมือนกับที่ญี่ปุ่นเลย คือไม่เผ็ดมาก ไม่ได้ฉุนกึก แบบบางร้านในไทยนะ พี่เก้าก็เลยทานวาซาบิได้ตั้งแต่นั้นมาค่ะ
นี่คือโฉมหน้าของลุงเชฟที่ทำซูชิให้เราทาน เป็นเชฟที่ดูอารมณ์ดีจริงๆ และแกก็จะคอยดูแลแขก ถามว่าเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย แถมยังแอคท่าให้ถ่ายรูปอยู่หลายรูปเลย ใครได้มาแถวอาซาคุซะ แนะนำให้ลองมาชิมซูชิที่ร้านนี้ดูนะ วันนี้เหนื่อยและอิ่มสบายท้อง กลับที่พักกันดีกว่า เป็นอันจบ Day 3 นะจ้ะ รอติดตามทริป Day 4 กันต่อนะ