สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

Basic การถ่ายภาพ

วิธีถ่ายภาพด้วยโหมด M (Manual)

โหมด M หรือโหมด Manual คือโหมดที่ใครๆ คิดว่ายาก หลายคนไม่อยากใช้มัน หรือบางคนอาจจะอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง จะทำให้เราถ่ายรูปได้สวยขึ้นจริงมั้ย วันนี้เราจะมาดูกันค่ะ




จริงๆ แล้ว ทุกโหมดมันมีข้อดีข้อเสียของมันนะ แต่แน่นอน มาแนะนำให้ใช้ มันต้องมีข้อดีสิ ก็จะมาแนะนำข้อดีของโหมด M กันค่ะ



ก่อนจะลองใช้อะไรใหม่ๆ เราต้องเกิดปัญหาก่อนถูกปะ ถึงได้หาทางแก้ปัญหา?
ปกติเราถ่ายโหมดอะไรกัน?

โหมด AV (ใน Canon) หรือโหมด A (ใน Nikon) ซึ่งเป็นโหมดที่กำหนดค่ารูรับแสงเอง และกล้องจะคำนวณ Speed Shutter ให้เราเองใช่มั้ยคะ
ซึ่งโหมด AV เนี่ยมันก็มีจุดอ่อนของมันอยู่เหมือนกัน ซึ่งอันนี้เป็น case ที่เราเจอเองกับตัว ขอเล่าให้ฟังแล้วกันค่ะ

ตอนนี้น เราก็ถ่ายเป็นอยู่แต่โหมด AV กับ TV แหละ โหมดอื่นไม่เคยใช้ เราก็ไปรีวิว โรงแรม โนโวเทล เพลินจิต เค้าก็จะเป็นห้องอาหารที่มีหลอดไฟ tungsten (ไฟเหลืองๆ) และมี Station ต่างๆ ที่มีเชฟคอยปรุงอาหารให้เรา



เราก็ใช้โหมด AV ถ่ายไปเรื่อยๆ เชฟก็ใส่ชุดขาวปรุงอาหารให้เราดู ก็ถ่ายไปเรื่อยๆไม่มีปัญหา
ที่นี่เค้าจะมีความพิเศษอยู่ที่เค้าทำพิซซ่าสไตล์อิตาเลี่ยนเองเลย



ดังนั้น พอมันเป็นความพิเศษ เชฟใหญ่ก็เลยออกมาทำพิซซ่าให้เราถ่าย ซึ่งจุดสำคัญคือ เชฟปกติจะใส่เสื้อสีขาว แต่เชฟใหญ่จะใส่เสื้อสีดำ...
พอเค้ามาทำให้เราดู เราก็รีบถ่าย ไม่ได้ชดแสงทางลบอะไรเลย (เพราะชดแสงไม่ทัน) เป็น Event พิเศษ ที่เค้ามาทำพิซซ่าให้ดู ก็รีบเก็บภาพใหญ่เลย



ผลที่ได้คือภาพแบบนี้...
สังเกตว่า Speed Shutter ที่ได้จะช้ามากกว่าปกติ ได้ประมาณ 1/13 หรือ 1/15 เท่านั้นเอง (ปกติจะได้ไม่ต่ำกว่า 1/50)
คำถามเกิดขึ้นมาทันทีว่า... แสงก็ไม่ได้เปลี่ยน ทำไม Speed Shutter ต้องเปลี่ยนด้วย มันเสี่ยงมากที่จะพลาด Moment ดีๆ เพราะพอเรารีบ บางทีเราไม่ได้ดู แล้วต้องคอยชดเชยแสงไปมา เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย -___-



วันนี้เราเลยจะมาแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยโหมด M



โหมด M เหมาะกับสถานะการณ์แบบไหน?
มันเหมาะกับสถานะการณ์ที่ แสงไม่ค่อยเปลี่ยน เราเลย set ค่าแค่ครั้งเดียวแล้วถ่ายไปหลายๆ Shot ได้เลย



ทำไมโหมด M ถึงยาก?



เพราะ ในโหมด M เราจะต้องปรับค่า รูรับแสง, Speed Shutter, ISO เองทั้งหมด ไง
ปรับเองทั้งหมดเลยหรอ? แล้วปรับเท่าไรดี? จะเริ่มต้นยังไงดีละเนี่ย? นี่แหละค่ะ ก็เลยดูเหมือนยาก หลายครั้งเก้าอยากลองพยายามใช้ดู แต่สุดท้าย ก็เลิกล้ม ไปใช้ AV ดีกว่า แต่พอเราเริ่มเรียนรู้มากขึ้น เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของ รูรับแสง Speed Shutter และ ISO มากขึ้น ก็เริ่มรู้สึกว่า โหมด M ไม่ได้ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ค่ะ



เอางี้ดีกว่า ถ้าตั้งต้นไม่ถูก เราลองมาเริ่มจากสิ่งที่เรามักจะทำบ่อยๆ คือ เราจะคิดก่อนว่าเราจะใช้อะไรเป็นตัวดีไซน์ภาพของเราในวันนี้ รูรับแสง หรือ Speed Shutter มันมีหลักจำง่ายๆ ค่ะ

เราเน้นอะไร เราก็ set ค่านั้นไปก่อน แล้วค่อย set ค่าอื่นๆตาม

เน้นอะไร คืออะไร?
คือภาพที่เราคิด เราต้องใช้รูรับแสงดีไซน์ภาพ หรือใช้ Speed Shutter ดีไซน์ภาพ (เช่น จะเบลอหลังมากๆ คือใช้รูรับแสงดีไซน์ภาพ ถ้าภาพมันเกี่ยวกับเวลาในการเปิด Shutter เช่น ไฟรถวิ่งยาวๆ หรือ หยุดการเคลื่อนไหวของคน นั่นคือใช้ Speed Shutter ดีไซน์ภาพ)

ถ้าเราใช้รูรับแสงดีไซน์ภาพ เราก็ต้องกำหนดค่ารูรับแสงที่ต้องการก่อน จากนั้นค่อย set ค่าอื่นๆ ตาม แต่ถ่าเราจะใช้ค่า Speed Shutter ดีไซน์ภาพ เราต้องกำหนดค่า Speed Shutter ที่เราต้องการก่อน จากนั้นค่อย set ค่าอื่นๆ ตาม

สังเกตุว่าหลักการคิดของมันก็ง่ายๆ ค่ะ ค่าอะไรที่ต้องได้ ถ้าไม่ได้จะไม่ได้ภาพสไตล์ที่เราต้องการ นั่นคือเราไม่มีทางเลือก เราต้อง set ค่านั้นอยู่แล้ว เราก็เริ่ม set จากค่านั้นก่อนเลย



ลองมาเริ่มจากการใช้รูรับแสงดีไซน์ภาพก่อนดีกว่าว่ามันมีขั้นตอนอย่างไร

ขั้นตอนตามนี้เลย



เริ่ม ต้องกำหนด ISO 100
ทำไมต้องเริ่มจาก ISO 100?
แน่นอนว่า ไม่มีใครต้องการใช้ ISO สูงๆ ถ่ายภาพหรอก ถ้าไม่จำเป็น เพราะยิ่ง ISO สูง มันก็ยิ่งมี Noise ดังนั้นถ้าเราเลือกได้ เราก็อยากถ่ายที่ ISO 100 ถูกมั้ยคะ ดังนั้น เริ่มต้นจากการ Set ISO ไว้ที่ค่าที่เราอยากได้เลย คือ 100 เนี่ยแหละ อยากได้มากที่สุด



ดีไซน์ภาพด้วยรูรับแสงใช่ไหม? ก็ต้องเอาค่า F เป็นตัวตั้ง
ทำไม? ก็เพราะว่าถ้าไม่ได้ค่ารูรับแสงที่เราต้องการ สไตล์ภาพที่เราต้องการก็ไม่ได้หนะสิ นี่คือค่าที่ไม่ได้ ถือว่า "ไม่ได้" ดังนั้น Fix ไว้เลย



จากนั้นก็ กดปุ่มรูป * หรือ AE Lock ขึ้นมาเพื่อดู Scale วัดแสง ดูทำไม? ดูเพื่อจะได้รู้ว่า ที่ค่าไหน ที่ถือว่า แสงพอดี



อันนี้แหละคือ Scale วัดแสง ถ้ามันวิ่งไปทางลบ คือภาพมืดเกินไป หรือ Under แต่ ถ้ามันวิ่งไปทางบวก คือภาพสว่างเกินไป หรือ Over ถ้าจะให้ แสงพอดีก็ต้องให้อยู่ที่ 0 ตัว Scale วัดแสงนี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เราเริ่มไปถูกทางว่า เราควรจะปรับอะไรไปทางไหน



ทำยังไง Scale มันถึงจะมาอยู่ที่ 0 ได้?

ค่าต่อไปที่ไม่เกี่ยวกับสไตล์ภาพที่เราคิดคือค่า Speed Shutter เราก็ลดความเร็วของ Speed Shutter ลง เพื่อให้แสงเข้าได้มากขึ้น เจ้า Scale วัดแสงมันก็จะขึ้นมาทางด้านสว่างมากขึ้น เราก็ลด Speed Shutter ลงเรื่อยๆ จนกว่า Scale วัดแสงมันจะมาอยู่ที่ 0



แล้วถ้า... เราลด Speed Shutter ลงเรื่อยๆ จนเราไม่สามารถถือกล้องให้นิ่งได้หละ ขาตั้งกล้องก็ไม่ได้เอาไป จะทำอย่างไร?

เราก็ต้องมาดูก่อนว่า Speed Shutter ต่ำสุดที่เราสามารถถือได้คือเท่าไร สมมุติว่าเราติดเลนส์ 50 F1.8 อยู่ ทางยาวโฟกัส 50 เราต้องได้ Speed Shutter 1/50 เป็นขั้นต่ำถูกไหม เราถึงจะถือกล้องได้นิ่งพอที่จะถ่ายภาพได้ไม่เบลอ

ดังนั้น เรา Direct to the point ไปเลยดีกว่า ว่าเราไม่อยากเสี่ยงได้ภาพเบลอ เราก็ Set ค่า Speed Shutter ไปที่ 1/50 เลย (คิดยังไงถึง set แบบนี้? เพราะเราไม่มีทางเลือกไง ถ้าไม่ได้ Speed Shutter 1/50 เราไม่สามารถถือถ่ายได้ ดังนั้น ยังไงก็ต้องได้ Speed Shutter ที่ไม่ต่ำกว่า 1/50)

แน่นอนว่า ถ้าเรากดปุ่ม AE Lock เพื่อดู Scale วัดแสงจะเห็นว่า Scale วัดแสงมันออกไปทางมืด หรือ Under เกินไป เราจะทำยังไง Scale วัดแสงมันถึงจะกลับมาที่ 0 ได้อย่างที่เราต้องการ?

เราเหลืออะไรให้ปรับได้อีก?
ISO ไงหละ
ดัน ISO ขึ้นไปเพื่อให้ Scale วัดแสงมันขึ้นมาที่ 0 ซะ เท่านั้นก็ถ่ายได้แล้ว



แต่ปัญหายังมีอีกนิดๆ หน่อยๆ คือ พอเราดัน ISO จนได้ จน Scale วัดแสงมาอยู่ที่ แถวๆ 0 น่ะ ลองไปทำดูนะ มันจะไม่มาอยู่ที่ 0 เป๊ะๆ เพราะว่า ISO มันดันเป็น Stop ใช่ปะ 100, 200, 400, 800, 1600, 3200, 6400 มันจะไม่ละเอียดพอ เราดันแล้ว Scale วัดแสง มันวัดว่าสว่างไปนิดหน่อยแบบจิ๊ดเดียว แต่พอลด ISO แล้วมันก็มืดไปหน่อย มืดไปจิ๊ดนึง จะทำไง มันไม่ 0 พอดีเป๊ะๆ?

เราก็ต้องเลือกที่ค่าที่สว่าง แล้วใช้วิธีเพิ่ม Speed Shutter เอาซัก 1 Stop (หรือ 1 กึ๊ก) เพื่อให้แสงเข้าได้น้อยลงหน่อย เราจะได้ค่า Scale วัดแสงมาอยู่ที่ 0 พอดี๊พอดี ลองทำดูนะ

แค่นี้ก็จบขั้นตอนสำหรับการถ่ายด้วยโหมด M โดยใช้การดีไซน์ภาพด้วยรูรับแสงเป็นตัวตั้งแล้ว



แล้วถ่ายอยากใช้ Speed Shutter เป็นตัวดีไซน์ภาพหละ?

ก็ทำขั้นตอนคล้ายๆ การใช้รูรับแสงดีไซน์ภาพนั่นแหละ แค่สลับมาเป็น Speed Shutter ขึ้นก่อน แล้วปรับค่ารูรับแสงตามเท่านั้นเอง

ขั้นตอนก็ตามนี้



ทีนี้เราลองมาวัดประสิทธิภาพของโหมด TV เทียบกับโหมด M กันดีกว่า

ตั้งโจทย์ว่า จะถ่ายภาพหยุดคนซักหน่อย ไม่ให้เกิด Movement มากมาย ก็เลยจะกำหนดว่า ตั้ง Speed Shutter ซัก 1/200 ดีกว่า

ภาพนี้ใช้โหมด TV โดย set ค่า Speed Shutter ไว้ที่ 1/200 ถ่ายมาเปรียบเทียบให้ดูหลายๆ ภาพ

จะเห็นว่า เราจะได้ค่ารูรับแสงไม่เท่ากันซักภาพ

ผลคือ ภาพจะดูมืดบ้าง สว่างบ้าง ไม่เท่ากัน



แต่พอเปลี่ยนมาเป็นโหมด M Fix ค่า Speed Shutter 1/200 Fix ค่ารูรับแสง F1.8 และ Fix ค่า ISO เป็น 3200 สังเกตุว่าถ่ายกี่ครั้งก็ได้ความสว่างเท่าเดิมเลย



บางคนอาจจะมีคำถามว่า ในโหมด M มีปุ่มชดเชยแสงหรือป่าว
คำตอบคือ "ไม่มี"

เพราะอะไร? เอาง่ายๆ การชดเชยแสงคืออะไร มีผลกระทบต่ออะไร?
การชดเชยแสงในโหมด AV จะมีผลกระทบต่อ Speed Shutter นั่นเอง เช่น ถ่าเราไม่ได้ตั้งชดเชยแสง คือปล่อยเอาไว้ที่ 0 เราอาจจะได้ค่า Speed Shutter 1/50 ก็ได้ แต่พอปรับชดเชยแสงไป +3 เราอาจจะได้ค่า Speed Shutter เป็น 1/5 ก็เป็นไปได้

ดังนั้นการชดเชยแสงคือ กล้องมันจะมาเล่นกับเรื่อง Speed Shutter ไง ถ้าชดบวก กล้องมันก็ให้ค่า Speed Shutter ช้าๆ เพื่อให้แสง Over แต่ถ้าชดลบ กล้องมันก็ให้ค่า Speed Shutter เร็วๆ เพื่อให้แสงเข้าได้น้อยๆ ภาพจะได้มืดๆ ติด Under ไง

ดังนั้นพอมาอยู่ในโหมด M ซึ่งเรา set ค่า รูรับแสง, Speed Shutter และ ISO ได้เองทั้งหมด จึงไม่สามารถมีปุ่มชดเชยแสงแบบในโหมด AV หรือ TV ได้



แล้วการล็อกแสงหละ ยังมีอยู่หรือป่าว?

การล็อกแสงคืออะไร มันคือการล็อกค่า รูรับแสง, Speed Shutter, ISO นะ ก็ในโหมด M เรากำหนดทั้ง 3 ค่าเองอยู่แล้ว ก็เหมือนเราล็อกแสงเอาไว้แล้วหละ ดังนั้นการล็อกแสงจึงไม่มีในโหมด M



แล้วเรื่องการวัดแสงหละ ยังมีอยู่หรือป่าว?



เน้นเลยนะ! เน้น! ว่าการวัดแสงมันมีอยู่ 2 ขั้นตอนเพื่อให้ได้คำตอบเป็นความสว่างเทากลาง 18% นะ

1. Function การวัดแสง คือ พวกวัดแสงเฉลี่ยทั้งภาพ, วัดแสงเฉพาะจุด, วัดแสงเฉลี่ยหนักกลาง เป็นต้น เหล่านี้คือ Function การวัดแสง



2. การคำนวณค่าจากวิธีการวัดแสงในข้อ 1 เพื่อให้ได้คำตอบเป็นความสว่างเทากลาง 18%



แล้วได้เป็นผลลัพธ์คือ ความสว่างระดับเทากลาง 18%



ซึ่งค่าเทากลาง 18% มันก็คือตรงกลางของ Scale วัดแสงที่มีค่าเท่ากับ 0 นั่นเองค่ะ



สรุป การวัดแสงของกล้องมันจะทำงานแบบนี้นะ

1. เลือก Function การวัดแสง เป็นการบอกกล้องว่าจะวัดแสงแค่ area ไหน ถือว่าได้ Input ที่จะเอามาคำนวณ
2. การวัดแสงของกล้อง คือเอา Input จากข้อ 1 มาคำนวณเพื่อให้ได้เป็นค่าความสว่างระดับเทากลาง 18%
3. กล้องแสดงให้เห็นว่าค่าเทากลาง 18% ที่วัดได้อยู่ตรง 0 แล้วตัว Scale ที่วิ่งไปวิ่งมา ก็คือค่าปัจจุบันที่ได้ ถ้าไปทางลบ ก็คือได้ภาพที่มืดกว่าค่าเทากลาง 18% แต่ถ้าไปทางบวก ก็คือได้ภาพที่สว่างกว่าค่าเทากลาง 18%

ดังนั้น การวัดแสงและการชดเชยแสงในโหมด M ยังคงมีอยู่นะ

การชดเชยแสงคืออะไร?

พูดสั้นๆง่ายๆ คือการดู Scale วัดแสงให้มันไปทางบวก (ถ้าถ่ายของขาว) หรือ ไปทางลบ (ถ้าถ่ายของดำ)

ทำไปทำไม? เวลาคุณถ่ายของดำ กล้องมันไม่รู้หรอกว่ามันคือของดำ มันจะนึกว่าเป็นความมืด มันก็เลยให้ค่า Scale วัดแสงออกมาในทาง Under ดังนั้น กล้องไม่รู้แต่คุณรู้ คุณเลยต้องช่วยกล้อง ก็ถ่ายถ่ายของดำ คุณก็ต้องให้ Scale วัดแสงมันวิ่งไปทางลบ หรือ under นั่นเอง เพื่อให้ของดำ ดำจริง ส่วนของขาวก็ตรงข้ามกับของดำ คุณก็ต้องให้ Scale วัดแสงมันวิ่งไปทางบวก เพื่อให้ของขาว ขาวจริง

แล้วจะปรับชดเชยแสงที่ปุ่มไหนหละ?

ถ้าดีไซน์ภาพด้วยรูรับแสง ก็ไปปรับที่ Speed Shutter ถ้าให้ Speed Shutter เร็วขึ้น แสงก็เข้าน้อยลง นั่นคือการชดลบแล้ว แต่ถ้าทำให้ Speed Shutter ช้าลง แสงก็เข้ามากขึ้น นั่นคือการชดบวกนั่นเอง



ส่วนการดีไซน์ภาพด้วย Speed Shutter ก็เหมือนกัน การปรับรูรับแสงให้แคบลง แสงก็เข้าน้อยลง นั่นคือการชดลบ แต่ถ้าปรับ Speed Shutter ให้กว้างขึ้น แสงก็เข้ามากขึ้น นั่นคือการชดบวก ถ้าเปิดรูรับแสงกว้างที่สุดแล้วยังไม่บวก ก็ไปดัน ISO เพิ่มเอา

จบแล้วสำหรับโหมด M

มันอาจจะดูแล้วยุ่งยาก แต่เชื่อเหอะ ถ้าฝึกใช้ และใช้มันบ่อยๆ ก็จะทำได้โดยอัตโนมัติเองแหละ

แต่ถึงบอกว่าให้ลองฝึก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้โหมด M ไปซะทุกสถานการณ์นะ อย่าลืมว่าทุกโหมดมันมีจุดดีจุดด้อยต่างกัน ถ้าเจอสถานการณ์ที่รีบๆ แสงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ต้องปรับรูรับแสงไปๆมาๆ อันนี้เล่นโหมด AV ดีกว่า แต่ถ้าเจอสถานการณ์ที่แสงไม่ได้เปลี่ยน อันนี้เล่นโหมด M จะง่ายกว่า AV ค่ะ

ใช้ประโยชน์จากโหมดต่างๆ ในกล้องให้ได้เต็มที่ อย่ายึดติดว่าต้อง M เท่านั้นชั้นถึงจะเป็นเทพ อย่าให้การ set กล้องมันมาทำให้ความสนุกของการถ่ายภาพหมดลงไปนะจ๊ะ

รักนะ ชุบุ อิอิ
สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า