สินค้าที่เลือกมีหลายสเปค/สี/ราคา โปรดเลือกจากรายการด้านล่างแล้วคลิกปุ่ม "ใส่ตะกร้าสินค้า"

รีวิวอุปกรณ์

รีวิวกล้อง Canon EOS M10 พร้อมน้องหมี Rilakkuma แพ็คคู่สุด Cute!!

กล้อง Canon M10 ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามว่า เป็นกล้องฟรุ๊งฟริ๊ง เน้นกลุ่มวัยรุ่น ที่ชอบถ่ายภาพแนวๆ สดใสๆ สไตล์ ฮิปสเตอร์ ใช้บันทึกภาพไปพร้อมๆ กับเดินทาง ท่องเที่ยว เซลฟี่ และแชร์ภาพขึ้น Social web เลยไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Instagram

ทุกครั้งที่ได้จับกล้องแนวนี้ แฟนเก่า Canon อย่างพวกเรา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า กล้องฟรุ๊งฟริ๊ง ถ้าเราเปิดโหมด M เอาไปถ่ายภาพจริงจัง แล้วนำไฟล์ Raw กลับมา Process มันจะตอบโจทย์เราได้ถึงจุดไหน ด้วยความอยากรู้ จึงถูกนำไปใช้งาน และทดสอบในสไตล์ของผู้ที่ถ่ายภาพแบบ Serious hobby ไปอ่านรีวิวกันดีกว่า.....

ผมมีโอกาสได้ Canon M10 มาลองเทสดูครับ เป็น set ที่มีเลนส์ kit 15 - 45mm F 3.5 - 6.3 กับเลนส์ 22mm F2 ได้มาเทส 1 อาทิตย์ ก็เลยเอาไปถ่ายอะไรมานิดๆ หน่อยๆ มีทั้งถ่ายเล่นในชีวิตประจำวัน, วันเกิด, ถ่าย Portrait, งาน event นะครับ

ผมถ่ายเป็น RAW แล้วมา Process ใน LightRoom สไตล์ภาพก็จะเป็นไปตามคอนเซ็ปท์ที่วางไว้ พวกถ่ายเล่น จะเป็นโทนแท้ๆ ของ Canon ส่วนที่ถ่าย Portrait ผมปรับโทนไปตามคอนเซ็ปท์ ของ Final image ที่คิดไว้

พูดถึงการใช้งานตัวกล้องก่อน
ตอนได้มาแรกๆ งง ครับ จริงๆ คือปุ่มมันน้อย ไม่มี Mode ให้เลือกอีก ได้ยินว่า position มันเป็นกล้องฟรุ๊งฟริ๊ง เอาไปถ่ายง่ายๆ เกร๋ๆ โหมด default ที่เค้าให้มาคือ Creative Assist ผมก็หาในเมนูไปสิครับ เห๋ย RAW อยู่ไหน ไม่มีให้เลือก ตอนหลังผมแบบ อ๋อ มันต้องกดเลือกโหมดจาก touch screen ของกล้อง ผมเลยมาเลือกโหมด M แล้วสามารถเลือกถ่ายแบบ RAW ได้

กล้องฟรุ๊งฟริ๊งเลยกลายเป็นกล้องที่ผมใช้ได้ตามปกติไป ดังนั้น ผมไม่รีวิวในมุมของกล้องที่ใช้ถ่ายฟรุ๊งฟริ๊งละกันนะ รีวิวแบบที่ผมใช้ปกติเนี่ยแหละ



งานวันเกิดคู... อันนี้ได้ทดสอบ ISO กันพอสมควร ถึงจะใช้เลนส์ 22mm F2 แล้วก็ตามที ด้วยความที่โรงแรมแสงค่อนข้างน้อย ทำให้ต้องดัน ISO ไป 1600 ก็มาดูกันว่า noise performace มันเป็นอย่างไรบ้าง

ISO 1600, Speed 1/50 F2



ลอง Crop 100% แบบไม่ใช้ noise reduction ลด noise ให้ดู ส่วนตัวผมว่า 1600 ยังรับได้นะ ไม่ขี้เหร่



Auto White Balance ทำงานได้แม่นยำใช้ได้ ในโรงแรมเป็นแสงเหลืองๆ แต่พอถ่ายจานขาวๆ มันก็ปรับขาวให้
อันนี้ jpg หลังกล้อง



ไหนๆ มันก็เป็นกล้องที่ทำมาให้ฟรุ้งฟริ้ง ถ่ายเซลฟี่ งั้นก็ต้องเทสเซลฟี่กันหน่อย

พลิกจอมา กดเลือกโหมดเซลฟี่ มันจะเกลี่ยหน้าให้ แต่เหมือนมันจะไม่ได้ถ่ายเป็น RAW นะ เพราะหา RAW ไม่เจอ 555 เหมือนมันถ่ายได้แต่ JPG สำหรับโหมดนี้



ภาพนี้เป็น JPG หลังกล้อง



Auto focus หละ?
ลองเอาไปถ่ายงาน Event ดู อันนี้ที่พารากอน ถ่ายเป็น RAW แล้วเอามาปรับแก้สีสันใน LR ปัญหาของกล้องตัวนี้คือ มันโฟกัสค่อนข้างช้านิดนึง ไม่ทันใจ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่

สำหรับ auto focus ในที่แสงน้อย ถ้าแสงมันน้อยมากๆ กล้องจะยิงไฟช่วยโฟกัสให้เอง ก็ถือว่าพอไหวอยู่ แต่ถ้าแสงพอดีๆนะ ก็ถือว่าเร็วแบบพอรับได้



Face detect กับ Auto focus หละ?
อย่างภาพนี้ ได้แสงธรรมชาติค่อนข้างเยอะ การโฟกัสทำได้ไวแบบโอเคเลย กดชัตเตอร์แล้วเข้าเป้าเร็วระดับนึง แต่ตัวที่ประทับใจจริงๆ คือ face detect ของมัน ภาพถ่ายแนวแคนดิดแบบนี้ ปรับ focus area เป็นแบบ wide ได้ face detect แม่นๆของ M10 ทำให้เก็บภาพได้ง่ายๆ สบายๆ



กับการถ่าย Portrait หละ?
ภาพ set ต่อไปนี้ ผม process ปรับโทนให้เป็นแบบสไตล์ฟิล์มๆให้เข้ากับ concept ที่ผมอยากได้นะ ไม่ขอพูดเรื่องโทนภาพ มาดูประสิทธิภาพของการใช้งานตลอดทริปดีกว่า

เลนส์ที่ใช้คือเลนส์ 22mm F2

การถ่ายย้อนแสง

โฟกัสวืดไหม? ไฟล์มาดึงสว่างแล้วรอดไหม? มีวืดไหม?
ไม่นะ ที่ถ่ายมาก็คมชัดทุกภาพ ไฟล์มาดึงสว่างแล้วรอดไหม? อันนี้อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ มีสีเพี้ยนนิดๆ ตรงหน้า บลัชแก้เอานิดหน่อย ไฟล์มาดึงไม่ถือว่าขี้เหร่



การใช้งานกล้องกับแสงที่มีความต่างแสงเยอะๆ และมีความซับซ้อน?
ถ้าใช้โหมด M นะ เราก็แค่ปรับค่าไปตามสูตรปกติที่เคยทำคลิปสอน เราดูจาก LCD เลยว่า เราได้ภาพที่โอเคหรือยัง พอได้ปั๊บ ก็จัดองค์ประกอบแล้วกดถ่ายเลย มันง่ายตรงนี้แหละ คือเวลาเปลี่ยนค่า setting แสงมันเปลี่ยนตามภาพที่จะได้จริงๆ

ทำไมผมถึงพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกล้องบางยี่ห้อในรุ่นเกรดเดียวกัน มีตัวที่ทำแบบนี้ไม่ได้! ซึ่งตอนใช้กล้องตัวนั้น มันลำบากมากสำหรับการถ่ายด้วยโหมด M



เลนส์ 22 F2 เป็นยังไงบ้าง?

คือมันเป็นเลนส์ที่แถมมากับชุดใช่ไหม มันก็คือเลนส์คิทนั่นแหละ ทุกคนก็ต้องคิดว่าเลนส์คิทมันต้องคุณภาพพอใช้ได้ใช่ไหม? แต่สำหรับ 22 F2 หนะ มันไม่ใช่แค่พอใช้ได้ มันคือดีเลยหละ

มาดูเรื่องความคมกันก่อน ภาพนี้ Crop 100% มาดูกันว่าเลนส์ตัวนี้ให้ความคมประมาณไหน



แฟลร์เยอะไหม?
เลนส์ 22 F2 มันโอเคมากเลยนะ แฟลร์ไม่เยอะ ออกจะดูหล่อๆ ด้วย ลองดูรูปร่างแฟลร์โค้งๆ ด้านบนภาพ



บทสรุปกับกล้อง Canon M10 ที่อยู่ในมือผมมาตลอด 1 อาทิตย์

ถ่ายพอตเทรตสนุกไหม?

Canon M10 เป็นกล้องที่ถ่ายสนุกนะ ตัวเล็กๆ พกง่ายๆ ดูเป็นมิตร ไม่ดุดัน

นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกของผมกับน้องเค้า และเป็นครั้งแรกที่น้องเค้ามาเป็นแบบถ่ายพอตเทรต

ถ่ายไปซักพัก ก็คุยๆ กันไป มีช่วงนึงน้องเค้าถามผมว่า ทำไมกล้องพี่ดูไม่ใหญ่โตเหมือนตากล้องคนอื่น มันดูไม่น่ากลัวดีจังเลย
ผมเลยเริ่มตระหนักว่า เออเนอะ กล้องเล็กๆ มันก็ดูเป็นมิตรจริงๆ นั่นแหละ มันดูผ่อนคลาย สบายๆ เพราะมันเหมือนผมถ่ายเล่นๆ (ทั้งที่จริงๆตั้งใจถ่ายจริงๆ จังๆ อ่ะนะ)

กล้องตัวนี้ได้คะแนนความ Friendly เต็ม 10 เลย

Auto Focus มันมีช่วงวืดวาดนิดหน่อยเวลาเข้าที่แสงน้อย แต่ก็ดีตรงมีแสงช่วยโฟกัสเนี่ยแหละ แต่สำหรับผม กล้องยี่ห้ออื่นในเกรดเดียวกัน มันก็โฟกัสได้พอๆกับ M10 นั่นแหละ ข้อนี้เลยไม่อยากให้เอามาคิดมากอะไร

การถ่ายย้อนแสง ถือว่าผ่าน ตอนแรกนึกว่าจะถ่ายยาก โฟกัสไม่โดน

ความยืดหยุ่นของไฟล์สำหรับการ process ดึงสว่างให้กับผิว แล้ว shade เงาไม่หายไปหมด อันนี้ผมประทับใจนะ ถือว่าผ่าน

ความอึดของแบ็ต ทริปนี้ผมเอาแบ็ตไปตัวเดียว ไม่ถ่ายก็ปิดกล้อง ไม่มีเปิดค้าง ถ่ายได้เกือบทั้งวัน ไปหมดเอาช่วงบ่ายแก่ๆ สำหรับใครที่จะเอากล้อง M10 มาถ่ายจริงๆ จังๆ ควรพกแบ็ตสำรองซักก้อน

และนั่นคือข้อสรุป ของคนที่ใช้เป็นงานอดิเรกแบบจริงจัง

คราวนี้ มาลองดูคนที่ใช้งานแบบทั่วไป ไม่จริงจัง เป็นแนว ชอบถ่ายภาพอาหาร ภาพคน และเซฟลี่ ใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลักในการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเที่ยวใกล้ หรือไกล ถ่ายภาพเสร็จแล้ว ใช้ App แต่งภาพให้ดูดีมีชาติตระกูล เน้นการละลายฉากหลังเป็นชีวิตจิตใจ มีน้องพิมฐา แป้งโกะ ส้มมารี เป็นไอดอลในการถ่ายภาพอัพขึ้นไอจี ลองมาดูว่า คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ จะพูดถึงกล้อง Canon M10 ว่าอย่างไรบ้าง.....

ก่อนอื่น คงต้องขอพูดถึงขนาดที่กระทัดรัด จับถนัดมือ น้ำหนักเบา ไม่รู้สึกเป็นภาระเวลาพกไปถ่ายภาพ และได้มีโอกาสลองใช้งาน Feature หลักของกล้อง Canon M10 ซึ่งเป็นจุดที่ทาง Canon ชูขึ้นมาอย่างโดดเด่นคือ โหมด Creative Assist มันคืออะไร?

มันคือ โหมดที่ช่วยให้เราสามารถ Process ภาพได้ที่ตัวกล้องเลย ไม่ต้อง Import ภาพลงคอม แล้วใช้ โปรแกรม Light Room หรือ Program แต่งภาพใดๆ ให้มันวุ่นวาย



เราสามารถเลือกความสว่าง ลดความจิ๊ดจ๊าด หรือจะเพิ่มความสดใสให้ภาพได้ที่กล้อง โดยไม่ต้องใช้ App ในมือถืออีกต่อไป



อย่างภาพขนมด้านบน ใช้การเพิ่มความสว่าง ให้มากกว่าปกติ ลดคอนทราสต์ ไม่ให้ภาพดูแข็ง ลดความจิ๊ดของสีลงด้วยนิดหน่อย ภาพนี้มีตัวช่วยคือ ร้านอาหารร้านนี้ เป็นกระจกใหญ่ๆ ด้านนึงเลย ทำให้ได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ก็ยิ่งเพิ่มความสว่างกระจ่างใสมากขึ้นไปอีก ประกอบกับเลนส์ที่ใช้คือ 22mm. F2 ละลายกันอย่างสะใจไปข้างนึงเลยทีเดียว

แนวคิดการทำหน้าชัดหลังเบลอ คือ อย่างภาพขนมนี้ เป็นขนม 2 แบบ เราได้ชิมแล้ว รู้สึกว่า เราชอบสีเหลืองมากกว่า สีชมพู เราจึงวางมันไว้ข้างหน้า และให้สีชมพูเป็นฉากหลัง แล้วจัดการละลายมันซะด้วย F2 ต้องการสื่อสารให้คนดูภาพรู้ว่า ชั้นชอบสีเหลืองนะ ด้วยความที่สีของขนม เป็นสีสันแนวพาสเทล เราจึงคงความเป็นพาสเทลไว้ ไม่ไปเร่งให้มันมีสีที่จิ๊ดจ๊าด ภาพรวมจึงออกมาเป็นโทนพาสเทล เหลือง-ชมพูหวานๆ มีแซมสีเขียวมินต์เล็กน้อย

ภาพสปาเก็ตตี้ 2 จานด้านล่างนี้ก็เช่นเดียวกัน อยู่ในร้านอาหารเดียวกันกับภาพขนม ได้แสงธรรมชาติช่วยทำให้ดูภาพรวมสะอาดสะอ้าน และแน่นอนว่า เราโฟกัสไปที่พระเอกของจานที่เราชอบคือ ไส้กรอก และกุ้งทอด





ให้ดูตัวอย่างกันอีกสักภาพดีกว่า เรามาที่ร้านอาหารที่มีแสงไฟในร้านเป็นแสงสีเหลือง หรือหลอดไฟทังสเตน ซึ่งในตอนแรกภาพอาหารและจานจะติดความเหลืองมาด้วย เราจึงจัดการเข้าโหมด Creative Assist เลือกแก้สีเหลืองด้วย Color Tone ปรับไปทาง cool tone เพื่อลงความเหลืองลง และก็ปรับความสว่าง คอนทราสต์ และความจิ๊ดจ๊าดไปตามสไตล์ที่ชอบ แต่สำหรับอาหารจานนี้ เป็นสไตล์รสแซ่บ จะปรับให้มันออกแนว ซีดๆ หน่อยอาจจะไม่ใช่ทาง เมนูนี้ เราเลยปรับให้มันจิ๊ดขึ้นอีกนิดนึง ให้ดูแล้วน่าทาน



มาดูภาพคนกันบ้าง เราไม่ได้เน้นถ่ายภาพคนจริงจังแบบพวก Serious Hobby เราเน้นถ่ายเล่นๆ ง่ายๆ ถ่ายเพื่อนที่ไปด้วยกัน Snap อารมณ์ที่เป็น Reality ของเพื่อน และบุคคลิกของคนๆ นั้น สำหรับภาพคน เราจะดึงความสว่างให้ Over เล็กน้อย คล้ายภาพอาหาร ลดคอนทราสต์ ความจิ๊ดไม่ไปแตะเลย ปล่อยไป และละลายฉากหลัง ให้ตัวคนโดดเด่น



อีกหนึ่งภาพที่ขาดไม่ได้คือ Selfie ซึ่งเราใช้โหมด Self portrait คราวนี้ เราไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับ Creative Assist นะ เราแค่เลือกโหมด Self Portrait สิ่งที่เรามองเห็นคือ กล้องปรับ Skin Tone ให้เราได้ดี มีสีผิวที่เป็นคนปกติ และเกลี่ยให้เนียนเล็กน้อย แบบไม่เนียโอเว่อร์เกินไป หน้าที่ ที่เหลือของเราคือ หาทิศทางของแสง ให้แสงยิงเข้ามาที่หน้าของเราให้ได้ พูดง่ายๆ คือ หันหน้าเข้าหาแสง และที่เหลือ ให้กล้องจัดการ



ประมาณนี้สำหรับแนวถ่ายภาพของเรา ที่พูดถึงความสว่าง คอนทราสต์ ความจิ๊ดจ๊าด และ Color Tone พวกนี้มันคืออะไร เรามารู้จักกันให้ละเอียดอีกสักนิดดีกว่า

วิธีแต่งภาพด้วย Creative Assist



ทำได้โดยเราจะต้องทำการ Process ภาพก่อนจึงกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ กดที่ Creative Assist ที่หน้าจอ แล้วกด Q



จะมีฟังชั่น ให้เราเลือกปรับแก้ไขได้

"Background" เป็นการทำเบลอที่ฉากหลัง ซึ่งจะทำให้ตัว Subject หรือตัวแบบของเรา โดดเด่นมากขึ้น เป็นสไตล์หน้าชัด-หลังเบลอที่ทุกคนชื่นชอบ ต้องการให้เบลอสุดๆ ก็ปรับเลื่อนไปทางซ้ายสุดให้ตัว Cursor อยู่ตรงคำว่า Blurred

เบลอสุด = Blurred
คมสุด = Sharp



"Brightness" เป็นการปรับมืด-สว่าง เป็นการปรับความสว่างทั้งภาพ ถ้าต้องการให้สว่างมากขึ้นให้เลื่อน Cursor ไปทางขวาๆ มากน้อยแล้วแต่ความต้องการ สไตล์ภาพในยุคสมัยนี้ การถ่ายภาพคน มักจะปรับให้ไปทางสว่างกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้ภาพรวมดูสว่างสดใส

มืดสุด = Dark
สว่างสุด = Light



"Contrast" เป็นการปรับค่าความเปรียบต่างของความมืด-สว่าง (ไม่เกี่ยวกับสีสัน) ยิ่ง Contrast สูง ความต่างของมืด-สว่างยิ่งมาก ทำให้ภาพร่วมของภาพ มีความจิ๊ด อธิบายไปก็อาจจะเข้าใจได้ยิ่ง ให้ลองปรับเองที่กล้องดู ปรับไปให้สุด

Contrast ต่ำ = Low
Contrast สูง = High

ส่วนใหญ่ การปรับ Contrast สูง จะใช้กับการถ่ายภาพ Landscape หรือ Cityscape จะไม่แนะนำให้ใช้กับภาพ Portrait หรือภาพถ่ายคน นอกเสียจากว่า จะมีคอนเซ็ปท์ของภาพที่เฉพาะเจาะจง เช่น การถ่ายภาพแนว Life ที่ถ่ายคนสูงอายุ เน้นให้เห็นริ้วรอยบนใบหน้า เพื่อสื่อถึงชีวิตที่ผ่านความยากลำบากมาเยอะ เป็นต้น



"Saturation" เป็นการปรับค่าความเข้มข้นของสีสัน ยิ่ง Saturation สูง ยิ่งทำให้สีจิ๊ดจ๊าด

Saturation ต่ำ = Neutral
Saturation สูง = Vivid

การปรับให้สีสันจิ๊ดจ๊าด เหมาะกับภาพถ่าย อาหาร ดอกไม้ หรือวัตถุ สถานที่ ที่มีสีสันสดใสอยู่แล้ว



"Color Tone" เป็นการปรับค่าอุณหภูมิของแสง ให้ออกไปทางโทนเย็น หรือโทนอุ่น โดยปกตินักถ่ายรูป จะรู้จักในนามว่า White Balance นั่นเอง ส่วนใหญ่ Color Tone จะถูกใช้ในกรณีที่ต้องการแก้ไขแสงในภาพให้ถูกต้อง เช่น ไปถ่ายภาพคน ในสถานที่ ที่มีแสงสีเหลือง ทำให้ตัวแบบมีสีผิวที่ติดเหลืองเกินความเป็นจริง เราจะใช้ตัว Color Tone ช่วยแก้ไข โดยปรับ Cursor ไปทาง Cool ให้มากกว่าเดิม หรือ ไปถ่ายภาพในที่แสงที่ฟ้า ทำให้ผิวติดฟ้า ก็ปรับ Cursor ไปทาง Warm ให้มากกว่าเดิม ซึ่งจะจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เฉพาะการถ่ายภาพคน แต่การถ่ายภาพวัตถุ อะไรก็ตาม ที่มีความติดฟ้า หรือติดเหลืองในภาพ เราสามารถแก้ไข ให้กลับมาถูกต้อง ตรงความจริงได้

Cool = เพิ่มโทนเย็น (มีความติดฟ้ามากกว่าเดิม)
Warm = เพิ่มโทนอุ่น (มีความติดเหลืองๆ ส้มๆ มากกว่าเดิม)



กรณีที่เราต้องการ Save ค่า Setting เหล่านี้ไว้เป็น Preset ที่เราสามารถกดใช้งานได้อย่างรวดเร็วได้ในการถ่ายภาพครั้งต่อไป สามารถทำได้โดย

กดปุ่มรูปดาวที่มีลูกศรชี้มาดาว (มุมบนซ้าย) เป็นการ Save Setting



และเลือก รูปกล้องที่มีดาวตรงกลางด้านล่าง เราสามารถ Save ไว้ได้ทั้งหมด 6 Setting



เลือกที่ 1 หรือ 2 หรือ 3-6 ได้อันใดอันหนึ่ง แล้วกด Set Register ถ้ามี Setting ที่เราเคยตั้งไว้แล้ว มันจะถามว่า ต้องการ Overwrite หรือไม่ (Save ทับของเดิม)



วิธีการเรียกค่า Setting ที่ save ไว้มาใช้งานทำได้โดยกดเลือก รูปดาวตัวที่สอง (ที่เป็นลูกศรชี้ออก)



กล้องจะแสดง Preset ที่เรา Save ไว้ทั้งหมดขึ้นมา กรณีในภาพนี้ เราเคยตั้งไว้ 3 Setting ถ้ามี 4 ก็จะโชว์ 4 ให้เรากดเลือก Setting ที่ต้องการได้เลย



นอกจากนี้ เราสามารถส่ง Setting ที่เรา Save ไว้ ส่งต่อให้เพื่อนได้ด้วย โดยใช้ฟังชั่น Wi-Fi ที่อยู่ในตัวกล้อง





การ Share ภาพขึ้น Facebook

ได้ข่าวมาว่า กล้อง Canon M10 ตัวนี้ สามารถที่จะแชร์ภาพขึ้น Facebook ได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน App Facebook บนมือถือ

ขั้นแรก สมัครสมาชิกกับ Canon Image Gateway (CIG) ก่อน เข้าไปที่ http://www.canon.co.th/cig/

คลิกเลือก Register



คลิก Click to Proceed



กรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม



หลังจากที่กรอกข้อมูลครบ กด Submit form แล้ว จะต้องมีการ Activate Account โดยให้เข้าไปคลิกลิงค์ที่อีเมลที่สมัครไว้



หลังจากที่สมัครสมาชิกกับทาง CIG แล้ว ต้องมีการใส่ Authentication Code โดย Login เข้าสู่ระบบด้วย Username และ Password และคลิกเลือก Enter Authentication Code



เราจะต้องนำ Code มากรอกที่ช่อง Authentication Code



มาที่ตัวกล้อง เราเลือกภาพที่ต้องการอัพโหลด คลิกเลือกปุ่ม Set แล้วเลือก Wi-Fi



กล้องจะแสดง Code ขึ้นมา



นำรหัสนี้ไปกรอกในช่อง แล้วกดปุ่ม Send



ในระบบจะโชว์ Confirmation Number ขึ้นมา ให้เรากลับไปดูที่ตัวกล้อง ถ้าเป็นเลขชุดเดียวกัน ให้กดยืนยันที่กล้อง



เมื่อกดยืนยันที่กล้องแล้ว ระบบจะแจ้งว่า ชุดตัวเลข Match กันถูกต้อง ให้กดปุ่ม Next



กล้องจะเข้ามาที่หน้า Update Web service



หลังจากนั้น เราจะเข้าสู่หน้า Web Service Setting ตรงในตารางบรรทัดเดียวกับ Icon Facebook ให้กดปุ่มรูปเฟืองที่เขียนว่า Setting



จะเข้าสู่หน้า Facebook Settings ให้กดปุ่ม To Facebook



จะมี Setting Facebook ต่างๆ และระบบได้ตั้งค่า Default ไว้ให้แล้ว ให้ใช้ค่านั้นได้เลย ไม่ต้องแก้ไขอะไร Scroll ลงไปด้านล่าง และกดปุ่ม Set



ระบบจะถามเพื่อความว่าแน่ใจว่า Privacy Setting เหล่านี้ ถ้ามีอะไรที่ถูกตั้งค่านอกเหนือไปจากที่ตั้งไว้ที่ Facebook ตัว Facebook จะถูก Update ค่าตามไปด้วยนะ ให้เรากดปุ่ม OK



ระบบจะกลับมาหน้า Web service settings อีกครั้ง



ที่บรรทัด Icon Facebook ให้คลิกที่ OFF ปรับเป็น On



กลับมาดูที่กล้องหน้า Update Web service ตอนแรกที่มีแต่ Icon รูปเมฆ จะมี Icon Facebook แสดงขึ้นมาด้วย



ให้คลิกที่ Icon Facebook เลย



เราสามารถพิมพ์ Caption ของภาพ ที่จะโชว์ใน Facebook ได้ด้วย กดที่รูป Bubble ข้อความ



จะมีแป้นพิมพ์แสดงขึ้นมา สามารถพิพม์ข้อความที่ต้องการได้เลย



เสร็จแล้วกดส่งภาพขึ้น Facebook ได้ทันที โดยกดปุ่ม Send this image



ให้เรารอระหว่างที่กล้องกำลังส่งภาพขึ้น Facebook



เมื่อส่งเสร็จเรียบร้อย จะแสดงข้อความว่า Transfer completed เป็นอันเสร็จเรียบร้อย



***ข้อควรระวัง*** เราต้องตั้งค่า Wi-Fi ให้เป็น Access Point ตัวเดียวกันกับที่เราใช้สมัครสมาชิกกับ CIG ซึ่งวิธีการตั้งค่า Wi-Fi ที่กล้อง จะมีอยู่ในคู่มืออยู่แล้ว

กล้อง Canon M10 ถือเป็นกล้องที่พกพาไปเที่ยวเล่น เก็บภาพได้อย่างง่ายดาย น้ำหนักเบา ถึงเวลาจริงจัง ก็ทำได้ ถึงเวลาเก็บภาพขำๆ ชิลๆ ก็ง่ายแสนง่าย



เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน และด้วยคาแร็คเตอร์สีสันของ Canon ที่แตกต่าง ซึ่งจะดูกี่ครั้งก็รู้สึกติดใจอยู่ทุกครั้งไป และคิดว่าหลายๆ คนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน



สำหรับใครที่มองหา โปรโมชั่น Box set ที่มาพร้อมน้องหมี Rilakkuma




สามารถหาซื้อได้ที่ ร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน จนถึง 31 ธันวาคมนี้ หรือจนกว่าของจะหมด



สินค้าแนะนำ
x

ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในตะกร้า